วิธีการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่ร่างกายแข็งแรง

คนที่มีลักษณะร่างกายอ่อนแอและขี้โรคมักจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสุขภาพของตนเองอยู่เสมอ การมีร่างกายที่อ่อนแออาจทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหรือภัยสุขภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ พวกเขายังอาจต้องเผชิญกับปัญหาทางสังคม เช่น การถูกละเมิดหรือการถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากความอ่อนแอของร่างกายทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อการเป็นเหยื่อของความไม่เป็นธรรมได้มากขึ้น

นอกจากนี้ คนที่มีลักษณะร่างกายอ่อนแอมักจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าในการดูแลสุขภาพของตนเอง

พวกเขาอาจต้องทำการรักษาตนเองอย่างใกล้ชิดและต้องปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม คนที่มีลักษณะร่างกายอ่อนแอก็สามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพได้เช่นกัน โดยการรักษาสุขภาพของตนเองอย่างเหมาะสม การดูแลตนเองอย่างดี รวมถึงการรับรู้ถึงความอ่อนแอของร่างกายและการป้องกันอย่างเหมาะสม จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่มีคุณภาพและสุขภาพที่แข็งแรงได้ในระยะยาว

การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่มีร่างกายแข็งแรงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็น แต่ต้องใช้ความพยายามและการมุ่งมั่นอย่างมาก วิธีที่ดีที่สุดในการทำเช่นนี้คือการรวมกันระหว่างการออกกำลังกาย การบริโภคอาหารที่เหมาะสม และการรักษาสุขภาพที่ดีอย่างสม่ำเสมอ

เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่เป็นเชิงบวก เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การลดน้ำหนักหรือการเพิ่มกล้ามเนื้อ จากนั้นควรวางแผนการออกกำลังกายที่เหมาะสมและทำให้เข้ากับรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำวัน

การบริโภคอาหารที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างร่างกายที่แข็งแรง ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ โปรตีนจากเนื้อสัตว์หรือถั่ว และคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสม

นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพที่ดีอย่างสม่ำเสมอก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ควรนอนพักผ่อนเพียงพอ ดื่มน้ำมากพอเพียง และหลีกเลี่ยงสิ่งที่อันตรายต่อสุขภาพ ด้วยความมุ่งมั่นและการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่มีร่างกายแข็งแรงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอีกต่อไป ลองทำตามวิธีนี้และเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันที!

คนที่มีสุขภาพแข็งแรงยังมีจิตใจที่มั่นคง และมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต พวกเขามักมีความสุข และมีความสมดุลในชีวิต

การรักษาสุขภาพที่ดีไม่ได้มีแค่ด้านกายภาพเท่านั้น แต่ยังต้องดูแลด้านจิตใจและสังคมด้วย การมีเวลาพักผ่อนเพียงพอ และการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างสุขภาพที่แข็งแรง

ดังนั้น  เครื่องช่วยฟัง มีไว้ทำอะไร    ความสุขภาพแข็งแรงเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของทุกคน ควรใส่ใจรักษาสุขภาพอย่างใกล้ชิดเสมอ

วิธีการที่เราจะรู้ว่าตัวเราเป็นโรคภูมิแพ้ ทำได้อย่างไร

การรู้ว่าคุณเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่สามารถทำได้โดยการสังเกตอาการของตนเอง การเข้ารับการตรวจและทดสอบจากแพทย์ และการประเมินสภาพแวดล้อมและอาหารที่คุณสัมผัส การทดสอบสามารถทำได้หลายวิธี รวมถึงการทดสอบบนผิวหนัง (Skin Prick Test) และการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับแอนติบอดีอิมมูโนโกลบูลิน อี (IgE) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้

 วิธีการตรวจสอบว่าเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่

  1. สังเกตอาการ: อาการที่บ่งบอกว่าคุณอาจเป็นโรคภูมิแพ้รวมถึงจามบ่อยๆ คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา คันจมูก ผื่นแดง หายใจลำบาก หรือเสียงหอบ อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเมื่อคุณสัมผัสกับสิ่งที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ หรืออาหารบางชนิด
  2. การทดสอบภูมิแพ้: การทดสอบนี้มักทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ สามารถทำได้โดยวิธีต่างๆ เช่น

   – Skin Prick Test: ใช้สารก่อภูมิแพ้หยดลงบนผิวหนังและใช้เข็มเจาะผิวเบาๆ หากเกิดการแพ้จะมีผื่นหรือตุ่มขึ้นภายในไม่กี่นาที

   – การตรวจเลือด ใช้เพื่อตรวจหาปริมาณแอนติบอดี IgE ที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้เฉพาะเจาะจง

  1. การปรึกษาแพทย์: ถ้าคุณสงสัยว่าคุณมีภูมิแพ้ การปรึกษาแพทย์เป็นวิธีที่ดีที่สุด แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยละเอียด รวมถึงอาจแนะนำการทดสอบที่เหมาะสมเพื่อตรวจหาว่าคุณมีการแพ้ต่อสารอะไร

โรคภูมิแพ้สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยแต่ละประเภทจะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป:

  1. โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ

   – สารก่อภูมิแพ้: ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์

   – อาการ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หายใจลำบาก

   – การรักษา: ใช้ยาแก้แพ้ (Antihistamines) หรือยาพ่นจมูก (Nasal sprays) นอกจากนี้ยังอาจใช้ยาสเตียรอยด์ หรือการฉีดภูมิแพ้ (Allergy shots) เพื่อช่วยลดความไวของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้

  1. โรคภูมิแพ้ผิวหนัง

   – สารก่อภูมิแพ้: สารเคมีในเครื่องสำอาง สารทำความสะอาด โลหะ

   – อาการ: ผื่นแดง คัน ผิวแห้งและลอก

 – การรักษา: ใช้ครีมสเตียรอยด์ (Corticosteroid creams) เพื่อบรรเทาอาการคันและลดการอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยนต่อผิวหนัง

  1. โรคภูมิแพ้ทางอาหาร

   – สารก่อภูมิแพ้: อาหาร เช่น นม ถั่ว ไข่ อาหารทะเล

   – อาการ: ปวดท้อง คลื่นไส้ ผื่นขึ้น หายใจไม่ออก หรืออาจถึงขั้นช็อก (Anaphylaxis)

   – การรักษา: หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ การใช้ยาแก้แพ้ในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรง แต่ถ้าเกิดอาการช็อกควรใช้ยาเอพิเนฟรีน (Epinephrine) ทันที

  1. โรคภูมิแพ้จากแมลงกัดต่อย

   – สารก่อภูมิแพ้: พิษจากแมลง เช่น ผึ้ง ต่อ มด

   – อาการ: บวมแดง คัน หรืออาจมีอาการรุนแรงเช่นหายใจลำบาก

   – การรักษา: ใช้ยาแก้แพ้หรือสเตียรอยด์ในการลดอาการ ในกรณีที่รุนแรงอาจต้องใช้เอพิเนฟรีนและรีบไปพบแพทย์

โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย การรู้ว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ต้องอาศัยการสังเกตอาการ การทดสอบ และการปรึกษาแพทย์ การรักษาจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคภูมิแพ้และความรุนแรงของอาการ อาจใช้ยาหรือการฉีดภูมิแพ้ในบางกรณี และการหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันอาการที่เกิดขึ้น.

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟังโรงพยาบาลรัฐ

โรคภูมิแพ้** (Allergy)

โรคภูมิแพ้** (Allergy) เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองต่อสารที่ไม่มีอันตรายต่อร่างกายในคนทั่วไป แต่ในคนที่มีภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะมองว่าสารเหล่านั้นเป็นศัตรู และทำให้เกิดการตอบสนองที่เกินกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น คัน จาม น้ำมูกไหล หายใจไม่สะดวก ผื่นขึ้น หรือแม้กระทั่งอาการรุนแรงถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต

ประเภทของภูมิแพ้

  1. ภูมิแพ้จากอาหาร: เกิดจากการแพ้อาหารบางประเภท เช่น นมวัว ถั่วลิสง อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เป็นต้น อาการแพ้อาหารอาจเริ่มตั้งแต่ผื่นขึ้น คัน บวม หายใจไม่ออก จนถึงขั้นช็อก (anaphylaxis)
  2. ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ: เกิดจากการสูดดมสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ เชื้อรา ขนสัตว์ อาการแพ้ทางเดินหายใจอาจรวมถึงการจาม น้ำมูกไหล คัดจมูก และหายใจลำบาก
  3. ภูมิแพ้ทางผิวหนัง: มักเกิดจากการสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น น้ำยาล้างจาน สบู่ โลหะบางชนิด น้ำหอม อาการที่พบบ่อยคือ ผื่นคัน ผิวหนังแดง และบวม
  4. ภูมิแพ้จากยา: เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ซึ่งอาจทำให้เกิดผื่น อาการหายใจลำบาก หรือในบางกรณีอาจทำให้เกิดอาการช็อก

การดูแลตัวเองในกรณีที่ไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์:

  1. การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้: หากทราบว่าตนเองแพ้สิ่งใด ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น เช่น หากแพ้ฝุ่น ควรทำความสะอาดบ้านให้ปราศจากฝุ่น หรือหากแพ้อาหาร ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  2. การใช้ยาแก้แพ้ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา: ยาแก้แพ้ชนิดต่าง ๆ เช่น ยาในกลุ่ม antihistamines สามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้ที่ไม่รุนแรง เช่น คัน น้ำมูกไหล หรือจาม โดยไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์
  3. การดูแลสุขภาพทั่วไป: การออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดี และพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความรุนแรงของอาการแพ้

การดูแลที่ควรพบแพทย์:

  1. อาการแพ้รุนแรง: หากมีอาการแพ้รุนแรง เช่น หายใจไม่ออก บวมที่หน้า ริมฝีปาก หรือลิ้น หรือเกิดอาการช็อก ต้องรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นอาการที่อันตรายถึงชีวิตได้
  2. อาการแพ้ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง: หากท่านใช้ยาแก้แพ้แล้วแต่อาการยังคงอยู่หรือแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
  3. อาการแพ้ที่ไม่ทราบสาเหตุ: หากไม่สามารถระบุสาเหตุของการแพ้ได้ ควรพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบภูมิแพ้ (allergy testing) เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

โดยรวม  เครื่องช่วยฟังต้องใส่กี่ข้าง    การดูแลตนเองเมื่อเกิดอาการภูมิแพ้ที่ไม่รุนแรงเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่หากอาการแพ้มีความรุนแรงหรือไม่สามารถควบคุมได้ ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย

รอบรู้เรื่องบ้าน บริการที่ทุกบ้านต้องใช้ คือ เรื่องดูดส้วม

รอบรู้เรื่องบ้าน บริการที่ทุกบ้านต้องใช้ คือ เรื่องดูดส้วม ดูดส้วมเป็นอย่างไร ดูดส้วมเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกที่อยู่ในบ่อพัก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ใกล้กับห้องอาบน้ำ บริเวณตัวบ้าน ทุกบ้านจำต้องมีบ่อพักสิ่งสกปรกที่ไม่เหมือนกันกันออกไป ทั้งยังเรื่องของขนาด และก็ปริมาณที่มีในบ้าน

โดยบ่อพักจะฝังอยู่ในดิน มองเห็นได้เพียงแต่ฝาปิดกลม ๆ ไม่ใหญ่ไม่เล็กสามารถมองเห็นได้ โดยส่วนมากจะเป็นแบบบ่อซึมหมายถึงน้ำซึมออกตามร่อง แล้วก็พื้นดิน เหลือแค่ใน่สวนของที่ไม่สามารถระเหยหรือซึมออกไปได้ ได้โอกาสเต็มได้หลายสาเหตุ ทั้งยังใช้งานมานาน หรือน้ำฝนเข้า แม้กระนั้นถ้าเกิดเป็นกรณีน้ำฝนเข้า ไม่นานก็จะแห้งไปเองได้ เพราะว่าน้ำซึมออกไปตามพื้นดินนั่นเอง

อาการที่ชี้ว่าส้วมเต็มก็คือ ความแปลกของการใช้ชักโครกที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกดไม่ลง ราดแล้วลงช้า น้ำเอ่อล้น หากพบว่ามีอาการแปลก ๆ นับว่าเป็นสัญญาณที่ควรจะเรียกใช้บริการดูดส้วม

ชักโครกตันมีหลายกรณี แต่ว่าอันที่จริงแล้วการที่ชักโครกเมื่อราดหรือกดแล้วดำเนินการช้ากว่าธรรมดา หรือที่เรียกว่า “ชักโครกตัน” นั้น ที่นอกเหนือจากการที่ส้วมเต็มแล้ว มีด้วยกันหลายกรณี จำนวนมากก็คือมีข้าวของตกเข้าไปตันในชักโครก อาทิเช่น สบู่ ผ้าอนามัย หรือกระดาษชำระ ส่งผลให้เกิดการกีดกั้นน้ำ แนวทางแก้ไขชักโครกตันพื้นฐาน

  1. ลูกยางปั๊ม เป็นแนวทางพื้นฐานที่สามารถทำได้ง่ายที่สุด วิธีการใช้ให้สวมหัวลูกยางลงในคอชักโครก แล้วต่อจากนั้นก็ทำการปั๊มลงไปเป็นจังหวะเรื่อย ๆ เพื่อให้เกิดแรงดันลงไปในโถ แล้วดันไปถึงสิ่งที่อุดอยู่ให้ไหลออกไป
  2. โซดาไฟ นั้นมีฤทธิ์กัดเซาะ ช่วยกำจัดสิ่งที่ตันด้านในชักโครกได้ การใช้ให้ผสมโซดาไฟกับน้ำอุ่น แล้วหลังจากนั้นเบาๆเทลงไปในชักโครก ไม่นานสิ่งตันก็จะหลุดไป แม้กระนั้นวิธีแบบนี้ต้องระวังสำหรับเพื่อการใช้งาน โดยใส่ถุงมือคุ้มครองป้องกันขณะใช้งาน และก็ระวังควันจากโซดาไฟเข้าตา
  3. น้ำยาล้างท่อตัน น้ำยาชนิดนี้ชอบมีฤทธิ์ในการละลายไขมัน ช่วยละลายสิ่งตันให้หลุดออกไปจากท่อชักโครกได้ แม้กระนั้นวิธีการแบบนี้ก็ต้องระวังสำหรับเพื่อการใช้งานเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุว่าเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดเซาะสูง ข้อแนะนำเป็นรอบคอบสำหรับเพื่อการใช้งาน เพราะว่าสารเคมีชนิดนี้มักมีฤทธิ์กัดเซาะสูง ดยใส่ถุงมือคุ้มครองปกป้องขณะใช้งาน
  4. สายงูเหล็ก เพียงแค่สอดสายลงไปตามแนวชักโครก แล้วหมุนที่จับไปๆมาๆ แรงหมุนจะช่วยปรับสิ่งที่ตันหลุดออกไป

 

ดังนี้    ประสิทธิภาพการได้ยิน    ถ้าหากทดลองแนวทางทั้งสิ้นแล้วยังไม่สามารถที่จะขจัดปัญหาชักโครกตันได้ หมายความว่าส้วมเต็มแน่ๆ ให้มองหาต้นเหตุในขั้นถัดไป

การซื้อบ้านใหม่ ก่อนตัดสินใจ เราควรทำอย่างไร

การซื้อบ้านใหม่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและยิ่งใหญ่สำหรับหลายคน นอกจากทำเล ราคา และคุณภาพของบ้านแล้ว ปัจจัยหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือการได้เจอกับเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งสามารถทำให้การอยู่อาศัยของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข นี่คือขั้นตอนที่คุณควรพิจารณาเพื่อมั่นใจว่าจะได้เจอกับเพื่อนบ้านที่ดี

  1. สำรวจพื้นที่รอบบ้าน: เริ่มต้นด้วยการสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ บ้านที่คุณสนใจ ลองเดินรอบๆ ชุมชนหรือหมู่บ้านในช่วงเวลาต่างๆ ของวัน เพื่อสังเกตว่ามีความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ดูว่าสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับคุณหรือครอบครัวหรือไม่ เช่น มีเสียงดังรบกวนจากการจราจรหรือกิจกรรมอื่นๆ หรือไม่

 

  1. พูดคุยกับผู้อยู่อาศัยในละแวกนั้น: การพูดคุยกับผู้อยู่อาศัยในละแวกนั้นสามารถให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่จริงได้ ลองถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาในชุมชน ปัญหาที่พบ หรือความคิดเห็นเกี่ยวกับเพื่อนบ้านในละแวก การได้ฟังความคิดเห็นจากผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นเป็นเวลานานจะช่วยให้คุณได้รับมุมมองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

  1. ค้นหาข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์: ในปัจจุบัน หลายชุมชนมีการสร้างกลุ่มในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook เพื่อใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การเข้าร่วมกลุ่มเหล่านี้อาจช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมถึงประสบการณ์การอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้าน

 

  1. สำรวจสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่: การมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีเช่น โรงเรียน สวนสาธารณะ หรือร้านค้าใกล้เคียงสามารถส่งผลต่อคุณภาพของเพื่อนบ้าน หากสิ่งอำนวยความสะดวกมีความสะอาดและได้รับการดูแลอย่างดี อาจเป็นสัญญาณว่าชุมชนนั้นมีคุณภาพและมีเพื่อนบ้านที่ใส่ใจ

 

  1. ประเมินคุณภาพการจัดการชุมชน: หากบ้านที่คุณสนใจตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่มีการจัดการ เช่น มีคณะกรรมการหมู่บ้านหรือบริษัทบริหารจัดการ การตรวจสอบคุณภาพการจัดการชุมชนเป็นสิ่งสำคัญ ลองสอบถามเกี่ยวกับการจัดการเรื่องความปลอดภัย การบำรุงรักษา และกิจกรรมชุมชน หากการจัดการเป็นไปด้วยดี โอกาสที่จะได้เจอกับเพื่อนบ้านที่ดีและเป็นมิตรจะสูงขึ้น

 

  1. ใช้เวลาในการเยี่ยมชมพื้นที่: หากเป็นไปได้ ลองเช่าบ้านในละแวกนั้นเพื่อพักอาศัยสักระยะก่อนตัดสินใจซื้อ การได้อยู่ในชุมชนจริงๆ เป็นเวลาหนึ่งสามารถทำให้คุณเห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับเพื่อนบ้านและสภาพแวดล้อม

 

  1. สอบถามจากนายหน้าอสังหาริมทรัพย์หรือผู้พัฒนาโครงการ: นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์มักจะมีข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนและเพื่อนบ้านในพื้นที่นั้น พวกเขาสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับความเป็นมิตรและคุณภาพของเพื่อนบ้านที่คุณอาจได้เจอ

 

การทำตามขั้นตอน  เพิ่มคุณภาพชีวิตและการได้ยินที่ดีขึ้น   เหล่านี้จะช่วยให้คุณมั่นใจมากขึ้นว่าจะได้เจอกับเพื่อนบ้านที่ดี และทำให้การอยู่อาศัยในบ้านใหม่ของคุณเป็นไปอย่างมีความสุขและสงบสุข

การทำความสะอาดคราบสกปรก บนอ่างล้างหน้า 

ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการทำความสะอาดคราบสกปรกซึ่งเกิดขึ้นบนอ่างล้างหน้าซึ่งอ่างล้างหน้านั้นจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่เราจะต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ

หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นจุดที่เราควรจะต้องทำความสะอาดทุกวันก็เป็นไปได้เพราะคราบสกปรกที่จะอยู่บริเวณอ่างล้างหน้านั้นเรามักจะพบเห็นเป็นประจำทุกวันเนื่องจากว่าเราต้องเข้าไปทำธุระบริเวณอ่างล้างหน้าทุกวันนั่นเองไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้าแปรงฟันหรือแม้แต่บางคนก็แต่งหน้าทาครีมอยู่บริเวณอ่างล้างหน้ารวมถึงมีการเข้าไปล้างมือด้วยเรียกได้ว่าตลอดทั้งวันนั้นบางคนอาจจะมีการเข้าไปใช้อ่างล้างหน้าหลาย 10 ครั้งเลยทีเดียว

ดังนั้นเพื่อให้อ่างล้างหน้าของเราสะอาดและไม่มีคราบสกปรกรวมถึงเชื้อโรคเราจึงจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดอยู่เสมอซึ่งเราสามารถที่จะทำความสะอาดวันละ 1 ครั้งก็ได้  หรือถ้าหากใครมีเวลาจะทำความสะอาดล้างหน้า 2 วันครั้งก็ได้เช่นเดียวกันโดยทำความสะอาดหลังจากที่ล้างหน้าแปรงฟันและทาครีมในช่วงเวลาเช้า

ส่วนในช่วงเวลาเย็นที่เราจำเป็นที่จะต้องเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันอีกครั้งหนึ่งแล้วก็สามารถที่จะทำความสะอาดอ่างล้างหน้าได้อีกครั้งหนึ่งเพื่อที่อ่างล้างหน้าของเราจะได้ไม่เกิดคราบฝังแน่นและทำให้ทำความสะอาดยาก  

สำหรับวิธีการทำความสะอาดคราบสกปรกบนอ่างล้างหน้านั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากเราสามารถใช้น้ำยาเดียวกันกับการล้างทำความสะอาดคราบพื้นกระเบื้องได้เช่นเดียวกัน

แต่ถ้าหากว่ามีคราบสกปรกฝังแน่นมากจนเกินไปหรือมีคราบหินปูนเกาะอย่างหนาแน่นนั้นเราอาจจะใช้น้ำยาตัวอื่นๆช่วยเพิ่มเช่นหาซื้อน้ำยาขจัดคราบหินปูนมาผสมละลายน้ำหลังจากนั้นก็มาทาบริเวณที่มีคราบทิ้งเอาไว้สัก 10 นาทีเสร็จแล้วใช้แปรงสีฟันเก่าขัดตรงบริเวณที่มีคราบหินปูน  เพียงเท่านี้คราบหินปูนก็จะหลุดและกลับมาสะอาดดังเดิม

สำหรับใครที่ทำความสะอาดอ่างล้างหน้าเป็นประจำทั้งเช้าทั้งเย็นอยู่แล้วปกติแล้วก็จะไม่มีคราบฝังแน่นดังนั้นเราใช้เพียงแค่น้ำยาล้างจานผสมน้ำเปล่าขัดทำความสะอาดก็ได้เช่นเดียวกันส่วนตรงบริเวณก๊อกน้ำนั้นถ้าอยากให้ก๊อกน้ำเงาแวววาวแนะนำว่าใช้ยาสีฟันทาบริเวณที่เป็นก๊อกน้ำหลังจากนั้นทิ้งไว้สักประมาณ 5-10 นาทีแล้ว

ใช้แปรงสีฟันขัดทำความสะอาดแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าเพียงเท่านี้ก็จะทำให้ก๊อกน้ำของคุณนั้นมีความเงาแวววาวและไม่มีคราบสกปรกติดอยู่อย่างแน่นอน 

นอกจากนี้หากใครมีปัญหาน้ำในท่ออ่างล้างหน้าไหลช้า ให้มีการทำความสะอาดท่อด้วยโดยให้เขี่ยเอาเศษผมที่ติดอยู่ในท่อออก  เพราะบางครั้งเวลาที่เราทำธุระตรงบริเวณอ่างล้างหน้าเศษผมของเราอาจจะร่วงลงไป และทำให้เกิดปัญหาท่ออุดตัน  ที่สำคัญหลังจากนำเสร็จผลออกแล้วอย่าลืมต้มน้ำร้อนเดือดๆมาเทลงในท่อซึ่งจะทำให้อ่างล้างหน้าน้ำไหลได้เร็วขึ้นเพราะน้ำร้อนจะไปช่วยขจัดคราบไขมัน เพียงเท่านี้อ่างล้างหน้าของคุณก็จะสะอาดและไม่มีกลิ่น 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ตรวจสุขภาพประจำปี

ไขมันทรานซ์คืออะไร?

ไขมันทรานซ์ (Trans Fat) เป็นชนิดหนึ่งของไขมันที่พบได้ในอาหารหลายประเภทและถือเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากที่สุด ไขมันทรานซ์เกิดขึ้นได้จากสองวิธีหลักคือ:

  1. ไขมันทรานซ์ธรรมชาติ: พบได้ในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม สัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น วัวและแกะ ผลิตไขมันทรานซ์ในกระเพาะอาหารตามธรรมชาติในระหว่างการย่อยอาหาร แม้ว่าไขมันทรานซ์ธรรมชาติเหล่านี้จะมีปริมาณน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับไขมันทรานซ์สังเคราะห์ แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อสุขภาพในบางกรณี
  2. ไขมันทรานซ์สังเคราะห์: เป็นไขมันทรานซ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันพืชในกระบวนการที่เรียกว่าไฮโดรจีเนชันบางส่วน (Partial Hydrogenation) กระบวนการนี้ทำให้น้ำมันที่เป็นของเหลวกลายเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้องและเพิ่มอายุการเก็บรักษาของอาหารที่มีส่วนผสมของมัน นี่คือประเภทของไขมันทรานซ์ที่เป็นปัญหาสุขภาพหลักและพบในอาหารแปรรูปหลายชนิด เช่น ขนมอบ คุกกี้ เค้ก แครกเกอร์ มาร์การีน เนยเทียม และอาหารทอด

ผลกระทบต่อสุขภาพ

ไขมันทรานซ์ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเนื่องจากมีผลต่อระดับไขมันในเลือดโดยตรง เมื่อเราบริโภคไขมันทรานซ์ มันจะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและเส้นเลือดอุดตันมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่าไขมันทรานซ์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และมีผลต่อการเกิดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของหลายโรคเรื้อรัง

ข้อกฎหมายและการควบคุม

ในหลายประเทศมีการควบคุมและห้ามใช้ไขมันทรานซ์ในอาหารแปรรูปแล้ว เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรง องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เรียกร้องให้ทั่วโลกยกเลิกการใช้ไขมันทรานซ์ในอุตสาหกรรมอาหารภายในปี 2023 การห้ามใช้ไขมันทรานซ์ในบางประเทศ เช่น เดนมาร์ก ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีในการลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

 

ในประเทศไทย คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกกฎหมายห้ามใช้ไขมันทรานซ์ในอาหารแปรรูปตั้งแต่ปี 2019 โดยห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันทรานซ์สังเคราะห์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของประชาชนจากการบริโภคไขมันทรานซ์ในอาหารแปรรูป

 

 แนวทางการลดการบริโภคไขมันทรานซ์

ผู้บริโภคควรใส่ใจใน  สุขภาพหู    การอ่านฉลากอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันทรานซ์ โดยคำว่า “partially hydrogenated oils” บนฉลากอาหารมักเป็นตัวบ่งชี้ว่าอาหารนั้นมีไขมันทรานซ์ นอกจากนี้ การเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันพืชธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการไฮโดรจีเนชัน เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันรำข้าว ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

 

การบริโภคอาหารสดใหม่ ผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และการปรุงอาหารที่บ้านเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดการบริโภคไขมันทรานซ์ และยังช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว

 

ไขมันทรานซ์เป็นไขมันที่อันตรายต่อสุขภาพ และควรถูกหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งโดยเฉพาะไขมันทรานซ์สังเคราะห์ที่พบในอาหารแปรรูป การลดการบริโภคไขมันทรานซ์เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเรื้อรังอื่น ๆ การศึกษาและความเข้าใจเกี่ยวกับไขมันทรานซ์ และการเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์จึงเป็นสิ่งที่ควรทำในชีวิตประจำวันเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ โรคนี้ร้ายแรงหรือไม่ เป็นแล้ว ต้องรักษาอย่างไร

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ  เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบในลำไส้ใหญ่ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อ การตอบสนองภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ หรือปัจจัยทางพันธุกรรม โรคลำไส้ใหญ่อักเสบสามารถแบ่งได้เป็นหลายชนิด เช่น โรคโครห์น  และโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง  ซึ่งเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ( รวมถึงการอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต

 

ความรุนแรงของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและระยะของการอักเสบ ในบางกรณี โรคอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยและสามารถควบคุมได้ด้วยยา แต่ในกรณีที่รุนแรง โรคอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น การเกิดแผลลึกในลำไส้ใหญ่ การตกเลือดรุนแรง ภาวะลำไส้ทะลุ (Perforation) หรือภาวะลำไส้ใหญ่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว (Toxic Megacolon) ซึ่งสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

อาการของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบสามารถแตกต่างกันไปตามชนิดและความรุนแรงของการอักเสบ อาการที่พบบ่อยได้แก่:

– ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย

– ท้องเสีย บางครั้งมีเลือดปน

– น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

– เบื่ออาหาร รู้สึกอ่อนเพลีย

– มีไข้

– ถ่ายเป็นเลือดหรือมูก

หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษา

การรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุและชนิดของโรค รวมถึงความรุนแรงของอาการ การรักษาหลัก ๆ ได้แก่:

  1. การใช้ยา: การรักษาโรคนี้มักเริ่มจากการใช้ยาลดการอักเสบ เช่น ยาเมซาลามีน หรือยาสเตียรอยด์ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก อาจต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น อะซาไธโอพรีน หรือยาไบโอลอจิกส์ เช่น อินฟลิซิแมบ  ในกรณีของการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุ แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสตามความเหมาะสม

 

  1. การปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร  การรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นส่วนสำคัญในการจัดการอาการของโรค อาจต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการอักเสบหรือทำให้เกิดอาการ เช่น อาหารที่มีเส้นใยสูง อาหารที่มีไขมันสูง หรืออาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส การปรึกษากับนักโภชนาการสามารถช่วยสร้างแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมได้
  2. การผ่าตัด: ในบางกรณีที่อาการไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การผ่าตัดอาจจำเป็น เช่น การตัดส่วนที่อักเสบของลำไส้ออก หรือในกรณีที่รุนแรงมาก อาจต้องผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ทั้งหมดออก 
  3. การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ: เช่น การฉายแสง หรือการรักษาด้วยวิธีทางภูมิคุ้มกันที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย

 

แม้ว่าการป้องกันโรคลำไส้ใหญ่อักเสบไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่เนื่องจากมีปัจจัยทางพันธุกรรมและภูมิคุ้มกันเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่การดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงสารเคมีหรือยาที่อาจกระตุ้นการอักเสบ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหรือช่วยควบคุมอาการได้

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    คาสิโน เวียดนาม ดานัง

มื้อดึกกินอะไรได้บ้าง  ที่จะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย

มื้อดึกกินอะไรได้บ้าง  ที่จะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย

เชื่อว่าหลายคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่าการกินอาหารมื้อดึกนั้นไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายเลยแต่บางครั้งที่เราเองก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อดึกได้  เนื่องจากว่าบางคนนั้นอาจจะมีอาชีพที่ต้องนอนหลับพักผ่อนในตอนกลางวันและต้องตื่นขึ้นมาทำงานในช่วงเวลากลางคืนอย่างเช่นคนทำงานกะดึก

หรือแม้แต่อาชีพหมอและพยาบาลเป็นต้นซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะควบคุมช่วงเวลาที่จะรับประทานอาหารได้  ดังนั้นในบทความนี้เราจึงจะมาพูดถึงอาหารที่เราจะสามารถกินได้ในช่วงเวลาตอนกลางคืนหรือมื้อดึกซึ่งเมื่อเรากินเข้าไปแล้วมันจะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายของเรานั่นเอง

สำหรับใครที่ชอบกินอาหารมื้อดึกแต่ไม่อยากให้อาหารที่กินเข้าไปนั้นส่งผลเสียต่อร่างกาย ก็จำเป็นที่จะต้องมีการเลือกอาหารในการกินเพราะเราไม่สามารถกินอาหารทุกอย่างในช่วงเวลาตอนดึกได้เพราะยิ่งกินอาหารประเภทไขมันสูง อย่างเช่น อาหารประเภท Fast Food ก็อาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพรวมถึงทำให้เกิดโรคภัยต่างๆได้

ดังนั้นอาหารที่เราจะสามารถกินได้และไม่เกิดผลใดๆต่อร่างกายของเราเลยก็คืออาหารประเภทธัญพืชรวมถึงถั่ว

เพราะจะให้พลังงานในช่วงเวลาตอนกลางคืนและที่สำคัญยังทำให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้นนอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้นนอกจากนี้เรายังสามารถทานไข่ต้มได้เพราะไข่ต้มถึงแม้ว่าจะมีโปรตีนสูงแต่สามารถทานในปริมาณที่น้อยได้และทำให้อิ่มท้องได้นานซึ่งเราสามารถที่จะทานไข่ต้มประมาณ 1-2 ฟองในช่วงเวลากลางคืนก็จะทำให้เราไม่หิวได้แล้ว

สำหรับใครที่ชื่นชอบการทานผลไม้ในช่วงเวลากลางคืนหรือมื้อดึกของคุณนั้นก็สามารถเลือกทานผลไม้ได้เช่นเดียวกันแต่ว่าควรจะต้องเลือกผลไม้ที่มีความหวานน้อย

และการทานผลไม้นั้นก็ยังมีประโยชน์เพราะมันสามารถไปเผาผลาญพลังงานได้อย่างยอดเยี่ยมและที่สำคัญทำให้ไม่มีไขมันสะสมในร่างกายได้อีกด้วยเพราะรับผลไม้นั้นไม่มีไขมันเป็นส่วนผสมนั่นเอง

นอกจากนี้หากใครที่อยากรู้สึกนอนหลับสบายจากการกินอาหารมื้อดึกนั้นเราก็สามารถเลือกที่จะทานนมจืดก็ได้เช่นเดียวกันเพราะนมถึงแม้ว่าจะมีโปรตีนและไขมันแต่ก็เป็นไขมันดีดังนั้นการทานนมนั้นจึงทำให้โอกาสที่จะอ้วนนั้นเป็นไปได้น้อยมากรวมถึงถ้าหากใครอยากที่จะมีระบบขับถ่ายที่ดีก็อาจจะมีการทานโยเกิร์ตเพิ่มซึ่งการเลือกทานโยเกิร์ตนั้นก็จะช่วยให้ตอนเช้าตื่นขึ้นมาแล้วคุณสามารถถ่ายท้องเพราะโยเกิร์ตนั้นมันช่วยเรื่องของการย่อยอาหารได้นั่นเอง 

จะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่าเราจะกินมื้อดึกแต่ถ้าเราเลือกอาหารการกินของเราให้ดีเราก็จะสามารถทานมื้อดึกได้โดยที่เรานั้นไม่รู้สึกผิดและเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามทานอาหารตามช่วงเวลาปกติเหมือนกับคนอื่นแต่ระบบการเผาผลาญของร่างกายของเราก็ยังคงดีเหมือนกับคนที่ทานอาหารมื้อปกติได้เช่นกัน 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย  คาสิโนเวียดนาม

ใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงของความงาม

รูปภาพเผยให้เห็นว่าการแต่งหน้ามีวิวัฒนาการอย่างไรในช่วง 100 ปี – จากความเย้ายวนใจในปี 1920 ไปจนถึงปี 70 บรอนเซอร์และผิวที่สดชื่นในปัจจุบัน

ผู้เชี่ยวชาญจาก Transform Hospital Group ตรวจสอบวิวัฒนาการของเทรนด์ความงาม เล่าว่าการระบาดของโควิดเปลี่ยนการเน้นความงามจากลุคหนักๆ มาเป็นลุคธรรมชาติได้อย่างไร คาดการณ์ว่าขั้นตอนที่ไม่ผ่าตัดจะได้รับความนิยมในอีกสิบปีข้างหน้า การแพร่ระบาดของโควิดมีส่วนสำคัญในการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากลุคแบบอินฟลูเอนเซอร์ซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงปี 2010

มาเป็นลุคที่ดูเป็นธรรมชาติและสดชื่นมากขึ้น แต่ความงามได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในประวัติศาสตร์?

ตั้งแต่ความหรูหราและความเย้ายวนใจของทศวรรษ 1920 ไปจนถึงแนวทางการแต่งหน้าและซ่อมแซมของผู้หญิงในอังกฤษในช่วงสงครามที่ใช้ไม้ก๊อกเผาสำหรับปัดมาสคาร่า และใช้น้ำบีทรูทสำหรับลิปสติก แต่ละยุคสมัยต่างก็มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันไป

ผู้เชี่ยวชาญจาก Transform Hospital Group ได้ตรวจสอบว่าเทรนด์ความงามเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วงสิบทศวรรษที่ผ่านมา และการแต่งหน้าแบบใดที่ยืนหยัดผ่านการทดสอบของกาลเวลา ในช่วงทศวรรษที่ 1920 มีผู้หญิงแต่งหน้าเพิ่มมากขึ้น การตีตราในช่วงแรกๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งหน้าก็หมดไป และผู้หญิงก็รู้สึกสบายใจที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด

เพื่อเพิ่มความงามของตนเอง การปรับรูปริมฝีปากเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในยุคนี้ โดยผู้หญิงจะจัดริมฝีปากให้เล็กกว่าโครงร่างตามธรรมชาติและจัดรูปทรงให้ดูเหมือนมีรูปโค้งของกามเทพ สีแดงเป็นสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทศวรรษนี้

ผู้คนยังคงรู้สึกตึงเครียดทางการเงินจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ดังนั้นแม้ว่าการแต่งหน้าในช่วงทศวรรษ 1930

จะดูหรูหรา แต่ผู้คนมักไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ต่อมา กิจวัตรด้านความงามก็เริ่มนำไปใช้ได้จริงมากขึ้น โดยใช้ผลิตภัณฑ์น้อยลงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน การแต่งหน้าในยุค 30 แตกต่างอย่างมากจากทศวรรษก่อน อายแชโดว์เนื้อหนาถูกแทนที่ด้วยเฉดสีที่นุ่มนวลกว่า

ความเป็นผู้หญิงคือเป้าหมายด้วยการเน้นให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ฮอลลีวูดมีอิทธิพลอย่างมากในทศวรรษนี้ ดาราสวมสไตล์ที่หรูหราซึ่งผู้หญิงหลายคนต้องการสร้างขึ้นใหม่ ด้วยเหตุนี้ รองพื้นแพนเค้กที่ได้รับความนิยมสำหรับใช้กับนักแสดงจึงมีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2480 สร้างความยินดีให้กับสาธารณชนเป็นอย่างมาก

นักแสดงหญิงยังมีอิทธิพลต่อกระแสความนิยมอย่างมากของการสักคิ้วแบบดินสอ โดยผู้หญิงบางคนถอนคิ้วออกทั้งหมดเพื่อดึงคิ้วที่สูงขึ้นกลับขึ้นมา ผู้คนยังเปลี่ยนเส้นริมฝีปากด้วย ดังนั้นริมฝีปากจึงดูยาวขึ้นและอวบอิ่มขึ้น โดยเลือกใช้เฉดสีต่างๆ เช่น สีน้ำตาลแดงและสีแดงเข้ม ทศวรรษ 1940

ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและมินิมอลแต่มีลิปสติกที่โดดเด่น ในอังกฤษในช่วงสงคราม ส่วนผสมในการแต่งหน้าขาดแคลน จึงมีการนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ทดแทน เช่น ไม้ก๊อกที่ถูกเผาสำหรับมาสคาร่า และน้ำบีทรูทสำหรับลิปสติก

ต้องขอบคุณผลกระทบของการปันส่วนและการขาดแคลนผลิตภัณฑ์ การแต่งหน้าในช่วงปี 1940 จึงดูเป็นธรรมชาติมากและถูกแสงแดดเจิดจ้าด้วยการเติมริมฝีปากสีแดง ผู้หญิงในยุค 40 ได้รับการยกย่องจากการใช้ลิปสติก เนื่องจากถูกมองว่าเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มขวัญกำลังใจในขณะเดียวกัน

ก็รักษาความเป็นผู้หญิงเอาไว้ คิ้วได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีความหนาปานกลาง ปัดหรือเขียนคิ้วเบาๆ การจับคู่สีเป็นที่นิยมมาก โดยคำแนะนำด้านความงามคือให้จับคู่สีบลัชออน ริมฝีปาก และเล็บให้เข้ากัน อายไลเนอร์ชนิดใดก็ตามที่ใช้ถูกทาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในช่วงปลายทศวรรษ อายไลเนอร์เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และไม่ต่างจากสไตล์ที่ยังคงสวมใส่อยู่ในปัจจุบันจนเกินไป

 

สนับสนุนโดย    ทัวร์คาสิโนเวียดนาม