กลิ่นเชอรี่ หนึ่งในกลิ่นน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ายอดนิยม

อีกหนึ่งน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่ต้องยอมรับเลยว่า ขายดิบขายดีจริงๆ ยิ่งกับนักสูบบุหรี่ไฟฟ้าในหมู่สาวๆแล้วล่ะก็ ยิ่งทำให้เป็นข้อสงสัยสำหรับผมอย่างมาก นั้นก็คือ มันต้องฮิตน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ากลิ่นเชอรี่กันขนาดนี้จริงๆหรอ สำหรับผมแล้วต้องบอกว่า ไม่ถูกกับกลิ่นนี้จริงๆ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่เกี่ยวกับความชอบคนอื่นเลยล่ะ

แต่เป็นเพราะตัวผมเองที่ไม่ชอบกลิ่นเชอรี่มาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ เพราะว่าสมัยเด็กนั้น ผมได้กินยาแก้ไอกลิ่นเชอรี่นี้เป็นกลิ่นที่ให้รสชาติที่แย่ที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตทีเดียว แต่ว่าผมเพิ่งมารู้เมื่อตอนที่โตมาแล้วว่า กลิ่นของยาแก้ไอของแต่ละคนนั้นมันคนละกลิ่นคนละรสชาติกันไป ไม่ใช่ว่ายาแก้ไอของทั้งประเทศเป็นกลิ่นเดียวกันหมดหรอก ฮ่าๆ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ก็เพราะยาแก้ไอนี่แหละที่กลายเป็นทำให้ผมเกลียดกินนี้ไปเลย

สำหรับการที่ผมไม่สามารถสูบกลิ่นนี้ได้ ทำให้ผมต้องไปถามเพื่อนๆที่สูบกลิ่นนี้แทน ซึ่งก็ได้ความว่า เป็นกลิ่นที่ไม่ได้เน้นเรื่องกลิ่นมากนัก สำหรับคนที่ไม่ได้เกลียดกลิ่นนี้ แต่สำหรับผมแล้วกลิ่นมันช่างชัดเจนเหลือเกิน ก็จริงอยู่แหละกับเรื่องแบบนี้ แล้วก็ผลไม้เชอรี่นี่ไม่ค่อยเป็นผลไม้แนวเน้นกลิ่นหรอก แต่เป็นผลไม้แนวที่เน้นรสชาติซะมากกว่า นั้นก็คือรสเปรี้ยวและหวานนั้นเอง

แล้วเจ้าน้ำยาตัวนี้ก็ทำเรื่องนี้ได้ดี นั้นก็คือการเน้นให้ได้รสชาติที่มีความอมเปรี้ยวขึ้นมา นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เหล่าคนที่ชอบรสนี้ได้ติดกับความอมเปรี้ยวนี้นั้นเอง แล้วน้ำยาตัวนี้ก็เป็นเป็นอะไรที่โด่งดังในหมู่สาวๆอย่างจริงจังเลย เห็นเวลาเพื่อนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นผู้หญิง ก็มีแต่สูบกลิ่นนี้ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเหล่าเพื่อนๆผู้ชายที่ผมรู้จักก็ไม่มีใครสูบกลิ่นนี้เลย น่าแปลกดีจริงๆนะ

ต้องยอมรับแหละว่าบุหรี่กลิ่นนี้เป็นบุหรี่กิล่นที่ดีมาก เพียงแต่มันยังไม่เหมาะกับผม แล้วก็ไม่แน่เหล่าๆชายชาตรีอาจจะไม่ชอบมันด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะ อาจจมีอยู่แหละสำหรับผู้ชายที่ชอบกลิ่นนี้ แต่ผมยังไม่เจอเท่านั้น อย่างกับเพื่อนๆผมก็บอกว่าก็สูบได้แหละ แต่ก็ไม่ได้ถูกใจมากนัก ใครอยากจจะรู้ว่าเป็นยังไงก็ไปทดลองหามาสูบกันได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงไป มันไม่ได้แย่หรอก ไม่งั้นในจะขายดีอะไรกันขนาดนี้ได้หรอ เป็นกลิ่นที่หลากหลายยี่ห้ออีกด้วย

 

สนับสนุนโดย  แทงหวยมาเลย์

เชื้อไวรัสป้องกันได้เพียงใส่หน้ากากอนามัยจริงหรือ

เชื้อไวรัสป้องกันได้เพียงใส่หน้ากากอนามัยจริงหรือไม่และการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกวิธีควรทำอย่างไร

         สำหรับต่างประเทศรวมถึงองค์กรอนามัยโลกมักจะออกมาประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนทราบว่าผู้ที่ควรจะสวมใส่หน้ากากอนามัยนั้นควรจะเป็นคนที่ติดเชื้อเท่านั้นสำหรับคนที่ไม่ได้ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยซึ่งเหตุผลในข้อนี้เราสามารถเชื่อถือได้ในกรณีที่เป็นการแพร่ระบาดของไข้หวัดแต่หากเกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าซึ่งกำลังเป็นปัญหากับทุกประเทศทั่วโลกอยู่ในขณะนี้การที่ให้คนที่ป่วยเท่านั้นที่จะใส่หน้ากากอนามัยนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่งเนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้จะมีการฝังตัวอยู่ในคนก่อนที่จะมีการแสดงอาการออกมาจึงทำให้เราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนที่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยนั้น

 

จริงๆแล้วเขามีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายหรือไม่ซึ่งระหว่างที่เชื้อโรคมีการฟักตัวอยู่ในร่างกายของคนนั้นมันสามารถแพร่จากอีกคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ดังนั้นการที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัยสำหรับคนที่ไม่ติดเชื้อนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนักในช่วงนี้แต่ก็จะมีบางประเทศที่อาจจะต้องมีการทำแบบนี้เนื่องจากว่าปัจจุบันหน้ากากอนามัยเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่หาได้ยากมากโดยเฉพาะในต่างประเทศดังนั้นหลายประเทศจะมีการรณรงค์เพื่อให้หน้ากากอนามัยเพียงพอต่อการใช้งานของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์แต่สำหรับประเทศไทยเองเป็นประเทศที่มีการผลิตหน้ากากอนามัย

 

โดยเฉพาะดังนั้นเพื่อสุขภาพอนามัยของเราเราจึงควรสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งไม่ว่าเราจะเป็นผู้ป่วยหรือไม่ใช่ผู้ป่วยก็ตามเพื่อเป็นการรักษาสุขภาพของเราไม่ให้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ และสำหรับวิธีการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องนั้นเราสามารถดูจากที่ตัวหน้ากากอนามัยเองได้ซึ่งโดยปกติแล้วหน้ากากอนามัยจะมีสองด้านซึ่งแต่ละด้านสีจะไม่เหมือนกัน

 

โดยฝั่งนึงจะเป็นสีเข้มและอีกฝั่งนึงจะเป็นสีออกวิธีการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องนั้นควรจะเอาฝั่งที่เป็นสีอ่อนไว้ด้านในและฝั่งที่เป็นสีเข้มไว้ด้านนอกซึ่งหน้ากากอนามัยจะมีด้านบนและด้านล่างโดยสั่งที่เอาไว้ด้านบนนั้นจะเป็นฝั่งที่มีเหล็กอยู่ด้านในเพื่อที่เวลาเราสวมหน้ากากอนามัยเราจะได้กดเหล็กให้เข้ากับรูปร่างของจมูกของเราแล้วดึงส่วนล่างให้ปิดปลายทางนำเชือกที่คล้องอยู่กับหน้ากากอนามัยมาคล้องหูเพียงเท่านี้ก็เป็นวิธีการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องแล้วโดยปกติแล้วหน้ากากอนามัยควรจะมีการใช้แค่เพียง 1 ครั้งแล้วทิ้งเพื่อสุขอนามัยที่ดีต่อผู้ใช้เองแต่ในขณะนี้หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่จำเป็นและหายากอย่างยิ่ง

ดังนั้นเราสามารถทำความสะอาดโดยการซัก 1-2 ครั้งแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่หน้ากากอนามัยที่เราใช้อยู่นั้นมีความเปียกชื้นเราไม่ควรที่จะกลับนำมาใช้ใหม่ควรที่จะนำไปทิ้งหรือนำไปซักให้สะอาดและตากให้แห้งหลังจากนั้นถึงสามารถเอามาใช้งานใหม่ได้

 

ได้รับการสนับสนุนมาจาก  หวยออนไลน์ขั้นต่ำ 1 บาท

หนึ่งในสิ่งสำคัญในการฝึกเลิกบุหรี่

สร้างจิตใจให้เข้มแข็งอยู่เสมอ หนึ่งในสิ่งสำคัญในการฝึกเลิกบุหรี่

สิ่งที่เราควรจะทำที่สุดในการเลิกบุหรี่ ต้องบอกเลยว่า มันคือการเอากำปั้นทุบดินดีๆนี่เอง บุหรี่นั้นไม่สามารถเลิกได้ด้วยวิธีง่ายๆอยู่แล้ว มันต้องใช้แรงใจอย่างมากมายมหาศาล เพราะว่าการติดบุหรี่นั้น มันทำกับเราอย่างไม่หยุดยั้งแน่นอน เราทุกคนต้องเข้าใจว่า บุหรี่นั้นมีทั้งสารและพฤติกรรมการสูบที่ ทำให้เราติดอย่างไม่หยุดยั้ง และสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับการติดบุหรี่ นั่นก็คือการที่เรา เลิกสูบไปได้สักพัก ความอันตรายอย่างสุดยอดของมันก็เผยตัวออกมา นั้นก็คือการที่อาการของความอยากในพฤติกรรมยังไม่พอ ยังมีอาการของการอยากสารนิโคตินใน  บุหรี่ไฟฟ้า  มาเพิ่มเติมอีกทบนึง แล้วจะรู้ว่าความทรมารนั้นมีจริง แล้วทำให้ทุกคนนั้นอยากที่จะกลับไปสูบอีกครั้งอย่างแน่นอน ความพยายามในการเลิกสูบจะพังพินาศอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

เมื่อเราตกอยู่ในช่วงเวลาที่เลิกบุหรี่อยู่สองถึงสามอาทิตย์ ก็จะมีอาการอยากบุหรี่อย่างรุนแรง เนื่องจากการอยากออกไปตามพฤติกรรมการสูบ และยังมีอาการอยากสารอีกด้วย ตอนนั้นจะเป็นตอนที่คนที่อยากเลิกบุหรี่ควรจะต้องทำการเอากำปั้นทุบดินจริงๆแล้วล่ะ นั้นก็คือ เข้มแข็งให้มาก ความเข้มแข็งนั้นสำคัญที่สุด ความเข้มแข็งของจิตใจเป็นเห็นผลสำคัญที่ทำให้วินัยยังมีอยู๋ แล้ววินัยนั้นจะพามา

ซึ่งความใจเย็นและเยือกเย็น เราจะกระทำทุกอย่างตามเหตุและผลของสมอง แทนที่จะใช้อารมณ์อันรุนแรงในความอยากบุหรี่ แล้วก็กลับไปสูบในที่สุด ดังนั้นแล้ว ความเข้มแข็งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการช่วยเหลือในยามจวนเจียนนี้ ถ้าเกิดว่าไม่มีความเข้มแข็งนี้ เราก็จะหนีไม่พ้นจากปราการด่านนี้ไปได้ มันเป็นด่านที่ถือว่ายากเย็นอย่างมาก เพราะอาการของคนที่อยู่ในช่วงนี้นั้น จะอ่อนไหวมากๆ เพียงแค่ได้กลิ่นบุหรี่จากการที่อยู่ใกล้คนอื่นๆที่สูบอยู่ ก็จะทำให้ความอยากเพิ่มพูลไม่หยุดและวินัยก็จะพังทลายลง

วิธีนี้ อย่างที่บอกไป มันคือวิธีกำปั้นทุบดิน ถ้าเกิดว่าเราตื่นมาแล้วอยากบุหรี่มากๆ หรือได้กลิ่นบุหรี่แล้วทนไม่ได้จะต้องสูบ

วิธีง่ายๆที่จะเพิ่มความเข้มแข็งนั้นไม่มี มีแต่วิธีหนึ่งเดียวคือ บอกตัวเองว่าอดทนไว้เท่านั้น เข้มแข็งให้ได้เท่านั้น นี่คือหนทางเพิ่มความเข้มแข็งให้กับตัวเอง หรือจะพูดไปก็ต้องมีโค้ชผู้ช่วยเหลือ นั่นก็คือการให้คนช่วยเตือนสติเราอยู่เสมอ และคนนั้นก็ควรมีความเข้มแข็งพอที่จะไม่ยอมใจอ่อนให้เราด้วยเช่นกัน ซึ่งก็หายากหน่อยล่ะ

โซเดียมกับสุขภาพคนในทุกวันนี้

โซเดียมกับสุขภาพคนในทุกวันนี้
กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือนการบริโภคโซเดียมในจำนวนมากเกินกว่า 2,400 มก. หรือมากยิ่งกว่า 1 ช้อนชาต่อวันจะมีผลให้มีการเพิ่มสูงขึ้นของน้ำภายในร่างกายทำให้มีภาวะความดันโลหิตสูงขึ้นนำมาซึ่งการทำให้ไตรวมถึงหัวใจทำงานมากขึ้น หนักขึ้น รวมทั้งบางครั้งอาจจะมีผลในระยะยาวส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ โรคเส้นโลหิตสมอง และโรคไตเข้าแทรกตามมา ทั้งนี้มีคำแนะนำเพื่อเป็นแนวทางลดจำนวนโซเดียมในชีวิตประจำวันเพื่อไม่ให้หัวใจแล้วก็ไต ทำงานมากขึ้น

โซเดียมไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน
อธิบดีกรมการแพทย์ เผยออกมาว่า โซเดียมเป็นองค์ประกอบของเกลือ ซึ่งเกลือ 1 กรัม จะมีโซเดียมราวๆ 400 มก. โดยร่างกายมีความต้องการโซเดียมราวๆ 2,400 มก.ต่อวัน

โซเดียม เจอได้ในของกินอะไรบ้าง ?
• เกลือโซเดียม หรือเกลือสมุทร

• เครื่องปรุงที่ให้รสเค็ม ยกตัวอย่างเช่น น้ำปลา ซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เต้าเจี้ยว ซอสมะเขือเทศ อื่นๆ อีกมากมาย

• ของกินชนิดดอง ตัวอย่างเช่น ผักดอง ผลไม้ดอง ไข่เค็ม ปลาแดก ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ฯลฯ

• ขนมอบกรอบ ผงชูรส มีเกลือโซเดียมแฝงเยอะมาก

ดังนั้นเราควรพิจารณาการทานอาหารให้มากขึ้น เลือกกินอาหารที่ดี มีประโยชน์ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่กล่าวมาข้างต้น ว่าพบปริมาณโซเดียมสูง ปัจจุบันโซเดียมมีในอาหารสูงมาก เพราะทั้งเพิ่มความอร่อยแล้ว ยังนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในอาหาร หรือ ขนมมากอีกด้วย ทางที่ดีที่สุด คือ การหลบเลี่ยง อาหารโซเดียมสูงนั่นเอง

ทำลายสมองด้วยสมองพฤติกรรม

คนเราต้องมีทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ บางสิ่งก็ดูเป็นพฤติกรรมที่ชอบทำ บางอย่างก็ไม่ได้อยากทำ และพฤติกรรมบางอย่างก็ทำจนเคยชิน และ กลายเป็นนิสัยติดตัวนั้น ซึ่งพฤติกรรมนั้นประกอบไปด้วยทั้งดีและไม่ดี พฤติกรรมที่ไม่ดีบางอย่างก็สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสุขภาพสมองในระยะยาว ในวันนี้เราจะมาพูดถึงพฤติกรรมทำลายสมองที่คุณอาจทำมันจนชิน

1. ละเลยการกินอาหารเช้า
อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญใคร ๆ ก็รู้ เพราะช่วยกระตุ้นเผาผลาญ และเป็นการเติมพลังงานให้เราใช้ไปทั้งวัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะละเลยการกินอาหารเช้า เพราะรีบเร่งเดินทาง และ หน้าที่การงานที่รัดตัวจนทำให้ละเลยอาหารเช้าแล้วไปควบรวมเป็นอาหารกลางวันแทน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วขณะที่เรานอนหลับร่างกายทุกอย่างก็ยังทำงานอยู่เสมอ ดังนั้นร่างกายต้องการพลังงานและขาดอาหารมานานประมาณ 6-7 ชั่วโมงนั้น ต้องการอาหารเช้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคุณละเลยอาหารเช้าและปล่อยให้ท้องว่างไปจนถึงเที่ยงวัน นั่นเท่ากับว่าร่างกายและสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นในการหล่อเลี้ยง ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาว

2. สูบบุหรี่
บุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทำร้ายทั้งผู้สูบและคนรอบข้าง รวมถึงคนที่คุณรัก เป็นสิ่งที่ใครก็รู้กันดี ตัวผู้สูบก็เองด้วย ทั้งนี้สถิติจำนวนผู้สูบบุหรี่ก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนักสูบหน้าใหม่ และหน้าเก่าที่เคยห่างไปแล้ว แม้จะมีการรณรงค์อย่างเข้มข้นมากขึ้น จากงานวิจัยในปี 2012 ระบุว่า ชายวัยกลางคนที่สูบบุหรี่ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน มีโอกาสที่จะเกิดภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนที่ไม่สูบ หรืองานวิจัยในปี 2015 ก็ระบุตรงกันว่า ผู้ที่สูบบุหรี่นั้นมีโอกาสสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีภาวะสมองเสื่อมหากเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ มาถึงตรงนี้แล้วยังมีผู้ที่จะอยากเลิอกสูบบุหรี่บ้างหรือยัง สูบบุหรี่มีแต่ผลเสีย นอกจากเสียสุขภาพแล้ว ยังเสียทรัพย์สินในการรักษา และบางครั้งอาจจะเสียคนที่รักไป

ทำไมต้องรู้ระดับน้ำตาลในเลือดของตนเอง

ทำไมต้องรู้ระดับน้ำตาลในเลือดของตนเอง
ระดับน้ำตาลในเลือดโดยปกติแล้วจะเอาไว้เช็คหรือตรวจสอบดูโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมหรือไม่ ช่วยควบคุมดูแลโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง
การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ มีข้อดีที่มากกว่าการเช็ดหรือควบคุมโรคเบาหวาน เพราะทำให้รู้ว่าอะไรที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ เช่น หากคุณเกิดความเครียด หรือรับประทานอาหารบางอย่าง จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ และเมื่อคุณได้รับยารักษาโรคเบาหวาน ยาออกฤทธิ์ได้ดี ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดต่ำลง เป็นต้น
จะตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองได้อย่างไร

ปัจจุบันเครื่องวัดระดับน้ำตาลขนาดเล็กมีขายการอย่างแพร่หลายตามร้านขายอุปกรณ์การแพทย์และร้านขายยา ซึ่งสามารถหาซื้อมาใช้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองกันได้ เพียงแค่เจาะปลายนิ้วมือเพื่อให้เลือดออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วใช้เครื่องวัด โดยควรศึกษาวิธีการใช้เครื่องที่แนบมาพร้อมกับเครื่องเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีใช้เครื่องในการวัดระดับน้ำตาลในเลือด ทีมบุคลากรทางแพทย์สามารถแนะนำวิธีใช้เครื่องให้กับคุณได้ และให้จดบันทึกวัน เวลา และค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจวัดได้ไว้เสมอ และนำผลการตรวจที่จดบันทึกนี้ไปให้แพทย์ดูทุกครั้งที่ไปพบแพทย์

เป้าหมายของระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานคือเท่าไร
• ระดับน้ำตาลก่อนอาหาร: 80–130 mg/dL
• ระดับน้ำตาลหลังอาหาร 2 ชั่วโมง: ต่ำกว่า 180 mg/dL
หมายเหตุ โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับค่าเป้าหมายในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสมสำหรับคุณ เพราะบางครั้งค่าเป้าหมายสำหรับแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้
ข้อควรจำ
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองบ่อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับทีมแพทย์แนะนำ
• ตรวจระดับน้ำตาลสะสมอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
• จดบันทึกค่าระดับน้ำตาลในเลือด และระดับน้ำตาลสะสมไว้เสมอ
• นำผลการจดบันทึกค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจด้วยตนเองไปให้แพทย์ดูทุกครั้ง
• ไปพบแพทย์หากระดับน้ำตาลในเลือดสูง หรือต่ำกว่าเป้าหมายบ่อยครั้ง

โรคโลหิตจาง กับอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง

มีใครที่เคยยืนอยู่ดีๆ แล้วก็มีอาการรู้สึกมึนหัว ตาลาย หงุดหงิด ร่างกายมีอาการเหนื่อยล้า ปวดเมื่อยง่าย จนทำให้การใช้ชีวิตการดำเนินชีวิต หรือการมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงไหม ซึ่งถ้าเคยมีอาการแบบนั้นให้ตั้งสันนิษฐานหรือสงสัยได้เลยว่า คุณอาจจะเป็นโรคโลหิตจาง เพราะการที่เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ จะทำให้การส่งออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ แต่ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลอะไรไปหรอกค่ะ เพราะอาการเหล่านั้นเราสามารถรักษาได้ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กมากๆ เหล่านี้

1. อาหารทะเล
อาหารทะเลส่วนใหญ่ เช่น หอยกาบ หอยพัด หอยแมลงภู่ หมึกกระดอง และหอยนางรม จะมีธาตุเหล็กสูง รวมถึงปลาชนิดต่างๆ ซึ่งมีไขมันบางชนิดมาก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมกเคอเรล และปลาแอนโชวี่ ซึ่งการรับประทานอาหารทะเลและปลาที่มีไขมันสูง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งมันจะช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง

2. ถั่ว
โดยถั่วยืนต้นซึ่งเป็นแหล่งของธาตุเหล็กที่ดีและยังมีรสชาติที่อร่อย แต่ถั่วพิสตาชิโอนั้นเป็นแหล่งของธาตุเหล็กที่ดีที่สุด เพราะมีปริมาณของธาตุเหล็ก 15 มก. ต่อถั่ว 100 กรัม

3. มะเขือเทศ
มะเขือเทศ เป็นผักมีทั้ง วิตามินซีและไลโคปีน โดยที่วิตามินซีนั้นจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ง่ายขึ้น และไลโคปีนก็มีความสามารถในการต่อสู้กับโรคต่างๆ (โดยเฉพาะต่อโรคมะเร็ง) ผักชนิดนี้ยังอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและวิตามินอี ซึ่งช่วยในเรื่องของผิวและเส้นผมอีกด้วย

4. น้ำผึ้ง
โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม มีปริมาณของธาตุเหล็ก 0.42 กรัม นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและทองแดง จะช่วยเพิ่มปริมาณของฮีโมโกลบินในเลือดอีกด้วย

5. ขนมปังธัญพืชแบบไม่ขัดสี
ขนมปังธัญพืชแบบไม่ขัดสีหนึ่งชิ้น จะมีปริมาณของธาตุเหล็กที่คุณต้องการในแต่ละวัน 6% ขนมปังธัญพืชเป็นแหล่งของธาตุเหล็กประกอบที่ไม่ใช่ฮีมชั้นยอด จะช่วยให้ร่างกายของคุณมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับภาวะขาดธาตุเหล็กได้

6. ปวยเล้ง
จะอุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินซี วิตามินบี9 เส้นใยอาหาร เบต้าแคโรทีน และธาตุเหล็ก โดยผักปวยเล้ง 1 ถ้วยมีปริมาณของธาตุเหล็ก 3.2 มก. ซึ่งเป็น 20% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน

อย่างไรก็ตาม ใครที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคไต เบาหวาน และอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานอาหารเหล่านี้ด้วยนะคะ

โรคเนื้อเน่า เกิดจากอะไร

สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ชี้โรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) หรือแบคทีเรียกินเนื้อคน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะระบาดในฤดูฝน ช่วงเกษตรกรลงดำนา ลุยโคลน การติดเชื้อมักมีอาการรวดเร็ว และรุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง อาจนำมาซึ่งการสูญเสียอวัยวะและอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

โรคเนื้อเน่า คืออะไร ?
นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคเนื้อเน่าเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียว หรืออาจเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลาย ๆ ชนิดพร้อมกัน พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติไปดำนา ลุยโคลน และโดนหอย หรือเศษแก้วบาด เศษไม้ตำเท้า และไม่ได้ทำแผลหรือรักษาใด ๆ เนื่องจากต้องทำนาให้เสร็จ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในบาดแผล และเพิ่มจำนวนจนเกิดอาการรุนแรงได้ ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผล หรือรอยแตกของผิวหนัง และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะสามารถสร้างเอนไซด์มาย่อยสลายเนื้อเยื่อในร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไป ทำให้มีการกระจายของเชื้อไปได้อย่างรวดเร็วในชั้นใต้ผิวหนังภายในระยะเวลาไม่นานนัก

กลุ่มเสี่ยงโรคเนื้อเน่า
โรคเนื้อเน่าพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่คนที่มีโรคประจำตัวบางชนิดพบมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งโรคดังกล่าวได้แก่

  • โรคเบาหวาน
  • โรคหัวใจ
  • โรคตับแข็ง
  • โรคมะเร็ง
  • โรคไตวาย
  • คนที่มีภาวะกดภูมิจากการใช้สารสเตียรอยด์
  • คนที่ใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น
  • คนที่มีปัญหาของหลอดเลือดบริเวณขา
  • คนอ้วน
  • คนสูบบุหรี่
  • คนที่ติดแอลกอฮอล์

อาการโรคเนื้อเน่า
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการดังนี้

  • ผิวหนังบวม แดง ปวด กดเจ็บในตำแหน่งที่มีการติดเชื้อ
  • ถ้าไม่ได้รับการรักษา ผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะบวมแดง หรือเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็วภายใน 36 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ
  • พบมีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง
  • มีการตายของชั้นใต้ผิวหนังและผิวหนังบริเวณดังกล่าว
  • เมื่อเป็นมากขึ้นเชื้อจะทำลายเส้นประสาท ทำให้อาการปวดที่พบในตอนแรกหายไป กลายเป็นชาบริเวณผิวหนังส่วนที่ติดเชื้อตามมาแทน
  • อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ถ้าเป็นมากอาจมีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • กรณีไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายล้มเหลว ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวลดน้อยลง ช็อค และเสียชีวิต การรักษาต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว

การรักษาโรคเนื้อเน่า
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่สงสัยโรคนี้ควรนอนรักษาในโรงพยาบาล โดยการรักษาหลักคือการผ่าตัดให้ลึกจนถึงชั้นฟาสเชีย คือชั้นพังผืดที่ห่อหุ้มชั้นกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในของร่างกายและเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่ตายออก ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด ซึ่งมักต้องให้ร่วมกันหลายชนิดเพื่อให้ครอบคลุมเชื้อที่ก่อโรค มีการให้สารอาหารอย่างเพียงพอในระหว่างการรักษา และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดตามมาได้ บางครั้งถ้าการติดเชื้อลุกลามมากอาจต้องมีการตัดอวัยวะที่ติดเชื้อทิ้งไปเพื่อควบคุมไม่ให้การติดเชื้อลุกลามมากขึ้นได้

การป้องกันโรคเนื้อเน่า

  • ระมัดระวังดูแลทำความสะอาดบาดแผลบริเวณผิวหนัง
  • ไม่แกะเกาบริเวณผื่นหรือแผลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อลดโอกาสของการเกิดโรคดังกล่าว
  • หมั่นสังเกตตนเอง ถ้าพบว่ามีบาดแผล ที่มีอาการปวดบวมแดง หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ บริเวณแผล ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาก่อนที่โรคจะมีการลุกลามติดเชื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้น

เคล็ดลับลดความอ้วนของคนรุ่นใหม่

การลดน้ำหนักนั้นมีด้วยกันหลายวิธี แต่จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้สาวๆ เห็นผลของน้ำหนักตัวที่ลดลงได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังเป็นวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะสมไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ วันนี้เรารวบรวมมาฝากกัน 5 ข้อ เรียกว่าเป็นข้อสำคัญที่ถ้าคุณทำได้รับรองว่า การมีหุ่นสวยเป๊ะปัง ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

1.อาหารเช้าอย่าให้ขาด

หลายคนมักมีความเชื่อที่ว่า การงดมื้อเช้าจะยิ่งทำให้มีรูปร่างที่ผอมสวยได้อย่างรวดเร็ว แต่จริงๆ แล้วนั่นถือเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะมื้อเช้าถือเป็นมื้อที่มีความสำคัญต่อร่างกายมากที่สุด ดังนั้นควรรับประทานมื้อเช้าเป็นหลัก และลดอาหารในมื้ออื่นๆ ลง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นและเพื่อให้ระบบเผาผลาญภายในร่างกายทำให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

2.ดื่มน้ำบ่อยๆ

น้ำเปล่า ถือเป็นอาหารลดน้ำหนักชั้นเยี่ยม ที่ยิ่งกินมาก ยิ่งดีต่อสุขภาพในช่วงลดความอ้วน เพราะน้ำถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายเกิดกระบวนการเผาผลาญที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร ก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้เร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะกินอาหารมื้อนั้นเกินความจำเป็นมากเกินไป

3.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป

ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารแปรรูป ก็ย่อมมาพร้อมสารเคมีและสารปรุงแต่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก อีกทั้งอาหารประเภทนี้ก็ยังมีปริมาณแคลอรี่สูง ยิ่งกินมากก็ยิ่งทำให้อ้วนขึ้น สาวๆ ที่กังวลเรื่องรูปร่างและอยากเห็นผลของน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ลองเปลี่ยนจากอาหารแปรรูปมาเป็นการรับประทานผักและผลไม้ จะดีต่อสุขภาพร่างกายมากที่สุด

4.รับประทานแบบนับแคลอรี่

ถือเป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สำหรับการรับประทานแบบนับแคลอรี่ ที่จะช่วยให้สาวๆ รับประทานได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ วิธีนี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารจำเป็นอย่างครบถ้วน อีกทั้งยังไม่ทำให้อ้วนขึ้น เพราะกินยังไงก็ไม่เกินจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับในแต่ละวัน

5.งดน้ำตาล

เคล็ดลับสำคัญในการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือการงดอาหารประเภทที่ให้โทษต่อร่างกายและเป็นปัจจัยที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือ น้ำตาล นั่นเอง ดังนั้นสาวๆ ที่อยากเห็นผลน้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ควรตัดน้ำตาลซะตั้งแต่เนิ่นๆ อะไรที่เป็นของหวาน เน้นน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม ไอศครีม เค้ก คุ้กกี้ หรือของหวานอื่นๆ ให้หลีกเลี่ยงไปเลย จะดีต่อสุขภาพในช่วงลดน้ำหนักของสาวๆ

ทั้งหมดนี้ก็คือเคล็ดลับการลดน้ำหนัก 5 ข้อที่อยากให้สาวๆ ทุกคนได้ลองนำไปปรับใช้กันดู หากทำได้เป็นประจำรับประกันได้ว่าคุณจะต้องตกตะลึงในรูปร่างที่เพรียวสวย สมส่วนมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

โรคที่มากับยุง โรคไข้สมองอักเสบ เจ อี

ไข้สมองอักเสบ เจ อี (Japanese Encephalitis)

โรคไข้สมองอักเสบ เจ อี เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Japanese encephalitis virus (JEV) ที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากพบรายงานผู้ป่วยครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2476 และพบผู้ป่วยโรคนี้ในประเทศไทยครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยมียุงรำคาญ เป็นพาหะนำโรค ยุงรำคาญมีสีน้ำตาลหรือดำ เพาะพันธุ์ใน แหล่งน้ำขังนิ่งจะเป็นน้ำสะอาดหรือสกปรกก็ได้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการทำนาร่วมกับการทำปศุสัตว์ ยุงชนิดนี้พบชุกชมที่ภาคเหนือถึงร้อยละ 80 ระยะฟักตัวจนกระทั่งเป็นตัวเต็มวัยนาน 9-13 วัน ยุงรำคาญมักจะออกหากินในเวลากลางคืน ผู้ติดเชื้อไวรัสไข้สมองอักเสบ เจ อี เป็นได้ทุกช่วงอายุแต่พบมากในเด็กแรกเกิดถึง14 ปี โดยเฉพาะเด็กก่อนวัยเรียน เชื้อไวรัสจะทำให้สมองเกิดการอักเสบ มีโอกาสสมองพิการและเสียชีวิตได้มาก ความสำคัญจึงอยู่ที่การป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ ซึ่งนอกจากจะต้องระวังไม่ให้ยุงกัดแล้ว ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปี สำหรับผู้ที่ติดเชื้อนี้แล้ว ไม่มียารักษาเฉพาะ การรักษาส่วนใหญ่เป็นการให้ยาตามอาการและการระวังไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน เมื่อป่วยเป็นโรคนี้แล้วพบว่าอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 50

การติดต่อ

เกิดจากยุงรำคาญ (Culex tritaeniorrhynchus) ที่มีเชื้อไวรัส JEV โดยยุงรำคาญตัวเมียจะดูดเลือดจากลูกสุกรที่เป็นแหล่งเชื้อไวรัส JEV (สามารถพบในโค กระบือ ม้า ลา หรือ แพะ ได้) เมื่อเชื้อเข้าสู่ตัวยุงแล้วจะเพิ่มจำนวนและไปสะสมที่ต่อมน้ำลาย ซึ่งทำให้สามารถแพร่เชื้อให้คนที่ถูกยุงกัดได้

อาการของโรคไข้สมองอักเสบ เจ อี
เมื่อถูกยุงรำคาญกัด เชื้อจะใช้เวลาฟักตัว 5-15 วัน จากสถิติพบว่าผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสจากยุงกัดส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ มีเพียง 1 คนใน 200-300 คนเท่านั้นที่จะแสดงอาการป่วยออกมา ทั้งนี้ขึ้นกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ละคน เริ่มจากอาการไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน มีอาการเหล่านี้นานประมาณ 1-7 วัน (ส่วนใหญ่ 2-3 วัน) จากนั้นจะเริ่มมีอาการทางระบบประสาท เช่น ต้นคอแข็ง ซึมลง เพ้อ ชัก หมดสติ อัมพาต ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ร้อยละ 15 -30 หลังจากนั้นไข้จะเริ่มลดลง อาการทางระบบประสาทอาจค่อยๆ ดีขึ้น ผู้ป่วยจำนวน 1 ใน 3 หรืออาจสูงถึงครึ่งหนึ่งที่จะมีภาวะแทรกซ้อนหลงเหลืออยู่ เช่น สมองบางส่วนถูกทำลาย เกิดอาการชัก และความพิการตามมา รวมถึงอาจทำให้ระดับสติปัญญาถดถอยลง

การป้องกันการติดเชื้อ

1. เด็กทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ เจ อี (JE vaccine) ซึ่งอยู่ในโปรแกรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคทั่วไปของกระทรวงสาธารณสุข วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ เจอี ปัจจุบันมี 2 ชนิด ได้แก่

1.1 วัคซีนชนิดเชื้อตาย สามารถรับการฉีดได้ครั้งแรกตั้งแต่อายุ 1 ปีครึ่ง ส่วนการฉีดครั้งที่ 2 ให้ทิ้งระยเวลาห่างจากเข็มแรก 7-14 วัน และเข็มที่ 3 ฉีดห่างจากเข็มที่ 2 ประมาณ1 ปี และอาจต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นทุก 4-5 ปี อีกไม่เกิน 2 ครั้ง

1.2 วัคซีนแบบชนิดเชื้อเป็น เข็มแรกฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี และเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 ปี โดยไม่ต้องฉีดกระตุ้น
หมายเหตุ: สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ เจ อี มาก่อน ควรฉีดอย่างน้อย 2 เข็ม

2. หลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัด เช่น ทายากันยุง กางมุ้ง ติดมุ้งลวด หรือใช้อุปกรณ์ดักจับยุง
3. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและทำลายลูกน้ำยุงบริเวณที่อยู่อาศัย และบริเวณที่มีปศุสัตว์ (โดยเฉพาะสุกร) และให้สัตว์ฉีดวัคซีนป้องกันโรค

อาการที่ควรไปพบแพทย์

มีอาการไข้ ร่วมกับอาการทางระบบประสาท เช่น ต้นคอแข็ง ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึมลง เพ้อ ชักหมดสติ หรืออัมพาต ควรไปพบแพทย์ทันที