สุดยอดผลไม้ที่ควรจะกินทุกวันสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผลไม้กินแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมากสำหรับคนทุกคนไม่เว้นแต่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็ควรจะกินผลไม้ทุกวันด้วยควรจะจัดผลไม้ รวมเข้าไปในมื้ออาหารแต่ละมื้อยิ่งกินทุกวันวันละสามมื้อได้ยิ่งดีหรือจะกินมากกว่านั้นก็ได้การกินผลไม้ไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายแต่กลับส่งผลดีทั้งต่อตัวคุณแม่เองและต่อลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ซึ่งสารอาหารที่ได้จากผลไม้ไม่ว่าจะเป็นกรดโฟลิกหรือพวกวิตามินต่างๆก็จะมีส่วนช่วยให้ลูกในท้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์สมองได้รับการพัฒนาและมีภูมิคุ้มกันโรคภัยต่างๆได้มากมาย

วันนี้เราจะมาแนะนำปลดไม้ที่ควรกินและหาซื้อง่ายราคาไม่แพงที่เหมาะกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์มาฝากกันค่ะ

1 แอปเปิ้ลสำหรับผลเม้ชนิดนี้เราสามารถหาซื้อได้ทุกฤดูกาลและราคาก็ไม่แพงจนเกินไปมากนักที่สำคัญหาซื้อได้ง่ายมากทั้งตามตลาดสดและตามซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วประเทศ ผลไม้ชนิดนี้จะเต็มไปด้วยวิตามินเอวิตามินบีและวิตามินอีรวมถึงยังมีสังกะสีซึ่งสารอาหารที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเข้าไปช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับทารกที่อยู่ในท้องป้องกันไม่ให้เด็กเป็นโรคหืดหอบและโรคเรือนกวางที่สำคัญยังเข้าไปเสริมสร้างร่างกายของทารกให้แข็งแรงตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่

2 กล้วยเป็นผลไม้พื้นพื้นที่หาซื้อกินได้ตามสถานที่ทั่วไปทั้งตลาดสดในห้างสรรพสินค้าแม้แต่ตามเซเว่นก็ยังมีขายอยู่ที่สำคัญบางบ้านอาจจะปลูกกินเองกล้วยสามารถหาซื้อได้ง่ายและราคาถูกแล้วยังมีประโยชน์เพราะกลัวจะเต็มไปด้วยวิตามินต่างๆทั้งวิตามินซีและบีหกรวมถึงมีแมกนีเซียม  โพแทสเซียม รวมถึงมีโฟเลทมากอีกด้วยซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องของการลดความเสี่ยงการเกิดเลือดออกในสมองและยังช่วยป้องกันไม่ให้คอดก่อนกำหนดอีกด้วยดังนั้นคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในหนึ่งสัปดาห์ควรจะต้องกินกล้วยก็ไปอย่างน้อยสัปดาห์ละสองถึงสามวัน

3.ส้มอีกหนึ่งผลไม้ที่ควรค่าแก่การกิน ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซีและยังมีโฟเลตสูงซึ่งส้มจะช่วยเหลือคุณแม่อย่างมากในการที่เข้าไปสร้างเม็ดเลือดแดงและยังส่งผลช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดกับทารกไม่ให้พิการตั้งแต่กำเนิดอีกด้วยและในส้มก็ยังหาซื้อง่ายทั้งในตลาดสดตามห้างสรรพสินค้าก็มีส้มขายทุกทุกฤดูกาล

เป็นยังไงกันบ้างคะนี่คือผลไม้ที่หาง่ายราคาถูกที่คุณแม่แม่ควรจะกินทุกอาทิตย์เพื่อที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงทั้งแม่และลูก    

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  วิธีอยู่ร่วมกับคนติดเชื้อเอดส์

คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องควรกินผลไม้อะไรบ้าง

คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องควรกินผลไม้อะไรบ้างที่จะช่วยให้ลูกน้อยในท้องมีสุขภาพที่แข็งแรง

           อย่างที่เราทราบกันดีว่าอาหารที่คุณแม่กินเข้าไปนั้น สารอาหารจะส่งตรงไปถึงลูกน้อยในครรภ์ดังนั้น คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องส่วนมากจึงมักเลือกอาหารที่ดีมีประโยชน์ เพื่อที่จะได้สารอาหารทีครบถ้วนเพื่อนำไปบำรุงสมองและพัฒนาทั้งสมองและกล้ามเนื้อให้กับทารกน้อยในท้อง ซึ่งนอกจากการกินอาหารแล้ว การกินผลไม้ก็มีส่วนทีจะช่วยบำรุงทารกในท้องคุณแม่เหมือนกัน 

มาดูกันว่าในช่วงทีคุณแม่ตั้งท้องนั้น ผลไม้ชนิดไหนบ้างที่กินเข้าไปแล้วจะมีส่วนช่วยเด็กในท้องให้แข็งแรงอย่างไรได้บ้าง สำหรับผลไม้นั้นถือว่าเป็นอาหารที่สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทานมากมากในช่วงที่คุณแม่กำลังมีการตั้งท้อง เพราะในผลไม้จะมีทั้งวิตามิน กรดโฟลิก และเบต้าแคโรทีน ที่จะไปช่วยในเรื่องการพัฒนาสมองของเด็กทารกไม่ให้มีความผิดปกติ รวมทั้งการพัฒนาเซลล์เนื้อเยื่อของสมองทำให้เด็กมีสุขภาพที่แข็งแรงและฉลาด สร้างกระดูกและมีการสร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บให้กับทารกตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่ 

  1. มะม่วง  เป็นผลไม้ตามฤดูกาลที่หากินได้ง่ายมากมีขายทั้งตลาดสดและในห้างสรรพสินค้า และยังมีราคาไม่แพงอีกด้วย ในผลมะม่วงจะมีวิตามินซีสูง ซึ่งเมื่อคุณแม่ที่กำลังท้องกินเข้าไปแล้วในส่วนของการดูแลแม่นั้นจะช่วยลดปัญหาการท้องผูกซึ่งคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จะพบบ่อยมาก และยังช่วยลดการติดเชื้อตอนที่มีการท้องอยู่อีกด้วย ส่วนผลที่ส่งต่อไปยังลูกนั้นจะช่วยไปสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย
  2. แอปริคอต เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยวิตามิน เอ   ซี และอี และยังมีสาร เบต้าแคโรทีน, ฟอสฟอรัส ซิลิคอน แคลเซียม และโพแทสเซียม โอ้ยเยอะแยะมากมาก ซึ่งสารอาหารต่างต่างเหล่านี้จะไปช่วยในเรื่องของการพัฒนาสุขภาพร่างกายของทารกที่อยู่ในท้องของมารดา และผลต่อแม่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคโลหิตจางได้อีกดังนั้นต่อวันจึงควรกินแอปริคอต  2-4 ลูก
  3. สตอร์เบอร์รี่  เป็นผลไม้ในฤดูกาลเช่นเดียวกัน แต่นอกฤดูกาลก็ยังหากินได้อยู่แต่อาจจะมีราคาสูงขึ้นมาหน่อย ซึ่งในสตรอร์เบอร์รี่นั้นมีวิตามินมากมายไม่ว่าจะเป็น เอ ซี  บี1 และบี2 รวมถึง โฟเลต แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี และ ฟลาโวนอยด์ เป็นต้น ซึ่งสารต่างต่างเหล่านี้มีส่วนช่วยอย่างมากในการดูแลสมองของทารกไม่ให้ผิดปกติ และยังช่วยเรื่องของการท้องผูกและลดความเสี่ยงในเรื่องของความดันเลือดสูงอีกด้วย

 

สนับสนุนเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพโดย  ชุดตรวจ hiv

โซเดียมกับสุขภาพคนในทุกวันนี้

โซเดียมกับสุขภาพคนในทุกวันนี้
กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือนการบริโภคโซเดียมในจำนวนมากเกินกว่า 2,400 มก. หรือมากยิ่งกว่า 1 ช้อนชาต่อวันจะมีผลให้มีการเพิ่มสูงขึ้นของน้ำภายในร่างกายทำให้มีภาวะความดันโลหิตสูงขึ้นนำมาซึ่งการทำให้ไตรวมถึงหัวใจทำงานมากขึ้น หนักขึ้น รวมทั้งบางครั้งอาจจะมีผลในระยะยาวส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ โรคเส้นโลหิตสมอง และโรคไตเข้าแทรกตามมา ทั้งนี้มีคำแนะนำเพื่อเป็นแนวทางลดจำนวนโซเดียมในชีวิตประจำวันเพื่อไม่ให้หัวใจแล้วก็ไต ทำงานมากขึ้น

โซเดียมไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน
อธิบดีกรมการแพทย์ เผยออกมาว่า โซเดียมเป็นองค์ประกอบของเกลือ ซึ่งเกลือ 1 กรัม จะมีโซเดียมราวๆ 400 มก. โดยร่างกายมีความต้องการโซเดียมราวๆ 2,400 มก.ต่อวัน

โซเดียม เจอได้ในของกินอะไรบ้าง ?
• เกลือโซเดียม หรือเกลือสมุทร

• เครื่องปรุงที่ให้รสเค็ม ยกตัวอย่างเช่น น้ำปลา ซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เต้าเจี้ยว ซอสมะเขือเทศ อื่นๆ อีกมากมาย

• ของกินชนิดดอง ตัวอย่างเช่น ผักดอง ผลไม้ดอง ไข่เค็ม ปลาแดก ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ฯลฯ

• ขนมอบกรอบ ผงชูรส มีเกลือโซเดียมแฝงเยอะมาก

ดังนั้นเราควรพิจารณาการทานอาหารให้มากขึ้น เลือกกินอาหารที่ดี มีประโยชน์ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่กล่าวมาข้างต้น ว่าพบปริมาณโซเดียมสูง ปัจจุบันโซเดียมมีในอาหารสูงมาก เพราะทั้งเพิ่มความอร่อยแล้ว ยังนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในอาหาร หรือ ขนมมากอีกด้วย ทางที่ดีที่สุด คือ การหลบเลี่ยง อาหารโซเดียมสูงนั่นเอง

ดูแลร่างกายให้ห่างไกลไขมันพอกตับ

สุขภาพโดยทั่วไปของเรานั้นสำคัญมาก แต่ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพเท่าไหร่นัก เพราะพวกเขามองว่ามันไม่จำเป็น ซึ่งคนเหล่านี้มักจะไม่คิดจะสนใจตนเองจนกว่าร่างกายของเขาจะมีการผิดปกติ พอถึงวันนั้นพวกเขาก็จะทำการหันมาดูแลร่างกาย แต่นั้นก็เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะบางครั้งมันก็ไม่ทันแล้วก็เป็นได้ เราลองหันมาดูแลสุขภาพก่อนที่จะเป็น ไขมันพอกตับ หรือก่อนที่สายเกินแก้กันดีกว่า

 

อันดับแรกที่เราควรให้ความสนใจนั้นก็คือ การออกกำลังกาย

ซึ่งหลักการออกกำลังกายหลักๆแล้วนั้นก็เป็นการออกกำลังกายทั่วไป แต่เราต้องรู้จักตนเองให้ดีก่อรนว่า เรานั้นมีโรคอะไรหรือไม่ แล้วโรคที่เราเป็นนั้นควรเหมาะแก่การออกกำลังกายประเภทไหน หรือเราไม่ควรหักโหมในการออกกำลังกายสักเท่าไหร่นัก หรือหากมีการออกกำลังกายแล้วรู้สึกว่ามันเกินกำลังของตนก็ไม่ควรฝืน เพราะมันจะก่อให้เกิดโทษมากกว่าการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์นั่นเอง

การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์

แน่นอนอยู่แล้วที่เราต้องทราบถึงประโยชน์ในการทานอาหารที่ดีๆ เพราะเราได้เรียนมาตั้งแต่เด็กทุกคนเกี่ยวกับโภชนาการหรือการทานอาหารที่ให้ครบ 5 หมู่ หากร่างกายของเราทานอาหารเหล่านี้ครบแล้วนั้น มันจะเป็นการช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรง แต่หากมีการทานอาหารที่มากกว่าปกติหรือมากกว่าที่ร่างกายต้องการ การทานอาหารนี้ก็จะนำโทษมาให้แก่เราได้เช่นกัน บางอาหารหรืออาหารบางประเภทไม่สามารถที่จะทานเยอะได้ และหากเรามีโรคประจำตัวอยู่ด้วยละก็ ควรระมัดระวังในการทานอาหารให้มากเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้อาหารบางชนิดจะให้ประโยชน์แก่คนทั่วไป แต่อาจจะเป็นโทษต่อโรคบางโรคที่เราเป็นก็ได้เช่นกัน

 การดูแลตัวเองให้สะอาดอยู่เสมอ

สำหรับการดูแลตนเองนั้น ไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย หรือการทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงเท่านั้น แต่รวมไปถึงการดูแลร่างกายให้สะอาดสะอ้านอีกด้วย เพราะการดูแลตนเองให้เราสะอาดนั้น เป็นการฆ่าเชื้อโรครอบๆตัวของเราได้อีกด้วย

ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้เป็นเชื้อโรคที่มีบางชนิดที่สามารถทำให้เราเกิดเป็นโรคร้ายแรงหรือเป็นต้นเหตุให้เราเป็นโรคร้ายแรงนั้นเอง

ทำลายสมองด้วยสมองพฤติกรรม

คนเราต้องมีทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ บางสิ่งก็ดูเป็นพฤติกรรมที่ชอบทำ บางอย่างก็ไม่ได้อยากทำ และพฤติกรรมบางอย่างก็ทำจนเคยชิน และ กลายเป็นนิสัยติดตัวนั้น ซึ่งพฤติกรรมนั้นประกอบไปด้วยทั้งดีและไม่ดี พฤติกรรมที่ไม่ดีบางอย่างก็สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสุขภาพสมองในระยะยาว ในวันนี้เราจะมาพูดถึงพฤติกรรมทำลายสมองที่คุณอาจทำมันจนชิน

1. ละเลยการกินอาหารเช้า
อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญใคร ๆ ก็รู้ เพราะช่วยกระตุ้นเผาผลาญ และเป็นการเติมพลังงานให้เราใช้ไปทั้งวัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะละเลยการกินอาหารเช้า เพราะรีบเร่งเดินทาง และ หน้าที่การงานที่รัดตัวจนทำให้ละเลยอาหารเช้าแล้วไปควบรวมเป็นอาหารกลางวันแทน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วขณะที่เรานอนหลับร่างกายทุกอย่างก็ยังทำงานอยู่เสมอ ดังนั้นร่างกายต้องการพลังงานและขาดอาหารมานานประมาณ 6-7 ชั่วโมงนั้น ต้องการอาหารเช้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคุณละเลยอาหารเช้าและปล่อยให้ท้องว่างไปจนถึงเที่ยงวัน นั่นเท่ากับว่าร่างกายและสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นในการหล่อเลี้ยง ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาว

2. สูบบุหรี่
บุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทำร้ายทั้งผู้สูบและคนรอบข้าง รวมถึงคนที่คุณรัก เป็นสิ่งที่ใครก็รู้กันดี ตัวผู้สูบก็เองด้วย ทั้งนี้สถิติจำนวนผู้สูบบุหรี่ก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนักสูบหน้าใหม่ และหน้าเก่าที่เคยห่างไปแล้ว แม้จะมีการรณรงค์อย่างเข้มข้นมากขึ้น จากงานวิจัยในปี 2012 ระบุว่า ชายวัยกลางคนที่สูบบุหรี่ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน มีโอกาสที่จะเกิดภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนที่ไม่สูบ หรืองานวิจัยในปี 2015 ก็ระบุตรงกันว่า ผู้ที่สูบบุหรี่นั้นมีโอกาสสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีภาวะสมองเสื่อมหากเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ มาถึงตรงนี้แล้วยังมีผู้ที่จะอยากเลิอกสูบบุหรี่บ้างหรือยัง สูบบุหรี่มีแต่ผลเสีย นอกจากเสียสุขภาพแล้ว ยังเสียทรัพย์สินในการรักษา และบางครั้งอาจจะเสียคนที่รักไป

ทำไมต้องรู้ระดับน้ำตาลในเลือดของตนเอง

ทำไมต้องรู้ระดับน้ำตาลในเลือดของตนเอง
ระดับน้ำตาลในเลือดโดยปกติแล้วจะเอาไว้เช็คหรือตรวจสอบดูโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมหรือไม่ ช่วยควบคุมดูแลโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง
การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ มีข้อดีที่มากกว่าการเช็ดหรือควบคุมโรคเบาหวาน เพราะทำให้รู้ว่าอะไรที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ เช่น หากคุณเกิดความเครียด หรือรับประทานอาหารบางอย่าง จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ และเมื่อคุณได้รับยารักษาโรคเบาหวาน ยาออกฤทธิ์ได้ดี ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดต่ำลง เป็นต้น
จะตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองได้อย่างไร

ปัจจุบันเครื่องวัดระดับน้ำตาลขนาดเล็กมีขายการอย่างแพร่หลายตามร้านขายอุปกรณ์การแพทย์และร้านขายยา ซึ่งสามารถหาซื้อมาใช้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองกันได้ เพียงแค่เจาะปลายนิ้วมือเพื่อให้เลือดออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วใช้เครื่องวัด โดยควรศึกษาวิธีการใช้เครื่องที่แนบมาพร้อมกับเครื่องเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีใช้เครื่องในการวัดระดับน้ำตาลในเลือด ทีมบุคลากรทางแพทย์สามารถแนะนำวิธีใช้เครื่องให้กับคุณได้ และให้จดบันทึกวัน เวลา และค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจวัดได้ไว้เสมอ และนำผลการตรวจที่จดบันทึกนี้ไปให้แพทย์ดูทุกครั้งที่ไปพบแพทย์

เป้าหมายของระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานคือเท่าไร
• ระดับน้ำตาลก่อนอาหาร: 80–130 mg/dL
• ระดับน้ำตาลหลังอาหาร 2 ชั่วโมง: ต่ำกว่า 180 mg/dL
หมายเหตุ โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับค่าเป้าหมายในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสมสำหรับคุณ เพราะบางครั้งค่าเป้าหมายสำหรับแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้
ข้อควรจำ
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองบ่อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับทีมแพทย์แนะนำ
• ตรวจระดับน้ำตาลสะสมอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
• จดบันทึกค่าระดับน้ำตาลในเลือด และระดับน้ำตาลสะสมไว้เสมอ
• นำผลการจดบันทึกค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจด้วยตนเองไปให้แพทย์ดูทุกครั้ง
• ไปพบแพทย์หากระดับน้ำตาลในเลือดสูง หรือต่ำกว่าเป้าหมายบ่อยครั้ง

อาหารเสริมบำรุงตับช่วยตับให้ดีขึ้นได้จริงหรือ ?

อาหารเสริมบำรุงตับช่วยตับให้ดีขึ้นได้จริงหรือ ?

ประชากรส่วนใหญ่มีมากขึ้นทุกที โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับแบบเรื้อรัง จะมีมากกว่า 350 ล้าน คนทั่วโลกเลยด้วย ซึ่งแต่ในละปีจะมีผู้คนที่เสียชีวิตจากโรคเกี่ยวกับตับเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นได้ก็เกิดจากแม่นำมาสู่ลูกเสียมาก

เนื่องจากไม่มีใครรู้ได้ว่าตนเป็นโรคตับอีกเสบบีจึงไม่รู้จักระวังตนเองหรือไปรักษาได้ทันท่วงที และการสังเกตุอาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีนี้ก็ไม่ระบุไว้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่าหากเราเป็นโรคนี้จะมีอาการเช่นไร หรือผลข้างเคียจากอาการที่เป็นโรคตับอักเสบบีจะเป็นอย่างไร

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการที่ไม่ได้มีอาการให้สังเกตุแต่ตับของเราก็ยังถูกทำลายลงเรื่อยๆอยู่ดี ซึ่งเราไม่สามารถคาดเดาอาการของโรคนี้ได้เลย หากมีอาการผิดปกติก็น่าจะมีอาการคล้ายคนป่วยทั่วๆไปเท่านั้น จะมีอาการเป็นๆหายๆ

ซึ่งเราอาจจะสังเกตุหรือคาดเดาว่าเราเป็นโรคนี้ได้ก็น่าจะเดาจากอาการที่ปวดตามข้อต่อต่างๆของร่างกาย ปวดเมื่อย มีอาการค่อนข้าที่จะเบื่ออาหาร และมีอาการคลื่นไส้มีความรู้สึกเหมือนจะอาเจียนอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนั้นยังมีอาการเหนื่อยล้าและมีภาวะซึมเศร้าและหงุดหงิดง่ายกว่าปกติมีอาการปวดที่ตับทางด้านบนขวาของช่องท้อง

การตรวจเลือดเพื่อหาโรคตับอีกเสบบีจะต้องทำการตรวจเฉพาะเท่านั้น เพราะการ่ตรวจเลือดเพื่อหาโรคทั่วไปไม่สามารถพบโรคตับอักเสบบีได้ ต้อเป็นแพทย์เท่านั้นที่สั่งตรวจเลือดเพื่อหาโรคตับอักเสบบีถึงจะทราบผลได้ว่าเรามีการติดเชื้อหรือไม่ส่วนการตรวจเลือกนั้นจะสามารถบอกได้ว่านั้นเป็นโรคตับอักเสบบีหรือว่าเรามีภูมิคุ้มกันต่อต้านโรคตับอักเสบบี

หากคุณมีความรู้สึกว่าตนเองจะเป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังนั้น แพทย์นั้นต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อที่จะได้ดูความเสียหายของตับของเราว่าเสียหายมากขนาดไหนและความจำเป็นในการที่แพทย์จะออกยาได้ถูกต้อง

ทำไมเราถึงต้องตรวจหาโรคตับอักเสบบีด้วย

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าถ้าหากคุณเคยมีเพศสัมพันธุ์กับบุคคลที่เป็นโรคตับอักเสบบีแล้วละก็คุณเข้าข่ายเสี่ยงมากที่สุด  หรือหากคุณเองคลุกคลีหรืออยู่กับบุคคลที่เป็นโรคตับอักเสบบี มีพ่อหรือแม่หรือญาติพี่น้องที่เป็นโรคตับอักเสบบีหรือโรคมะเร็งตับ นั้นก็จะนิ่นอนใจไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะเสี่ยงมากในการติดเชื้อเป็นอย่างสูง

เนื่องจากทางการแพทย์ที่เรารู้จักกันดีได้แนะนำสำหรับบุคคลที่มีสุขภาพที่ดีอยู่ควรปฎิบัติตนด้วยวิธีออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และทานสมุนไพรหรือทานอาหารเสริมจำพวกบำรุงตับ เพราะ อาหารเสริมบำรุงตับ ช่วยดูแลตับอีกวิธีหนึ่งเช่นกัน

โรคโลหิตจาง กับอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง

มีใครที่เคยยืนอยู่ดีๆ แล้วก็มีอาการรู้สึกมึนหัว ตาลาย หงุดหงิด ร่างกายมีอาการเหนื่อยล้า ปวดเมื่อยง่าย จนทำให้การใช้ชีวิตการดำเนินชีวิต หรือการมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงไหม ซึ่งถ้าเคยมีอาการแบบนั้นให้ตั้งสันนิษฐานหรือสงสัยได้เลยว่า คุณอาจจะเป็นโรคโลหิตจาง เพราะการที่เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ จะทำให้การส่งออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ แต่ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลอะไรไปหรอกค่ะ เพราะอาการเหล่านั้นเราสามารถรักษาได้ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กมากๆ เหล่านี้

1. อาหารทะเล
อาหารทะเลส่วนใหญ่ เช่น หอยกาบ หอยพัด หอยแมลงภู่ หมึกกระดอง และหอยนางรม จะมีธาตุเหล็กสูง รวมถึงปลาชนิดต่างๆ ซึ่งมีไขมันบางชนิดมาก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมกเคอเรล และปลาแอนโชวี่ ซึ่งการรับประทานอาหารทะเลและปลาที่มีไขมันสูง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งมันจะช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง

2. ถั่ว
โดยถั่วยืนต้นซึ่งเป็นแหล่งของธาตุเหล็กที่ดีและยังมีรสชาติที่อร่อย แต่ถั่วพิสตาชิโอนั้นเป็นแหล่งของธาตุเหล็กที่ดีที่สุด เพราะมีปริมาณของธาตุเหล็ก 15 มก. ต่อถั่ว 100 กรัม

3. มะเขือเทศ
มะเขือเทศ เป็นผักมีทั้ง วิตามินซีและไลโคปีน โดยที่วิตามินซีนั้นจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ง่ายขึ้น และไลโคปีนก็มีความสามารถในการต่อสู้กับโรคต่างๆ (โดยเฉพาะต่อโรคมะเร็ง) ผักชนิดนี้ยังอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและวิตามินอี ซึ่งช่วยในเรื่องของผิวและเส้นผมอีกด้วย

4. น้ำผึ้ง
โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม มีปริมาณของธาตุเหล็ก 0.42 กรัม นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและทองแดง จะช่วยเพิ่มปริมาณของฮีโมโกลบินในเลือดอีกด้วย

5. ขนมปังธัญพืชแบบไม่ขัดสี
ขนมปังธัญพืชแบบไม่ขัดสีหนึ่งชิ้น จะมีปริมาณของธาตุเหล็กที่คุณต้องการในแต่ละวัน 6% ขนมปังธัญพืชเป็นแหล่งของธาตุเหล็กประกอบที่ไม่ใช่ฮีมชั้นยอด จะช่วยให้ร่างกายของคุณมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับภาวะขาดธาตุเหล็กได้

6. ปวยเล้ง
จะอุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินซี วิตามินบี9 เส้นใยอาหาร เบต้าแคโรทีน และธาตุเหล็ก โดยผักปวยเล้ง 1 ถ้วยมีปริมาณของธาตุเหล็ก 3.2 มก. ซึ่งเป็น 20% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน

อย่างไรก็ตาม ใครที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคไต เบาหวาน และอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานอาหารเหล่านี้ด้วยนะคะ

โรคเนื้อเน่า เกิดจากอะไร

สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ชี้โรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) หรือแบคทีเรียกินเนื้อคน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะระบาดในฤดูฝน ช่วงเกษตรกรลงดำนา ลุยโคลน การติดเชื้อมักมีอาการรวดเร็ว และรุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง อาจนำมาซึ่งการสูญเสียอวัยวะและอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

โรคเนื้อเน่า คืออะไร ?
นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคเนื้อเน่าเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียว หรืออาจเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลาย ๆ ชนิดพร้อมกัน พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติไปดำนา ลุยโคลน และโดนหอย หรือเศษแก้วบาด เศษไม้ตำเท้า และไม่ได้ทำแผลหรือรักษาใด ๆ เนื่องจากต้องทำนาให้เสร็จ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในบาดแผล และเพิ่มจำนวนจนเกิดอาการรุนแรงได้ ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผล หรือรอยแตกของผิวหนัง และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะสามารถสร้างเอนไซด์มาย่อยสลายเนื้อเยื่อในร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไป ทำให้มีการกระจายของเชื้อไปได้อย่างรวดเร็วในชั้นใต้ผิวหนังภายในระยะเวลาไม่นานนัก

กลุ่มเสี่ยงโรคเนื้อเน่า
โรคเนื้อเน่าพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่คนที่มีโรคประจำตัวบางชนิดพบมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งโรคดังกล่าวได้แก่

  • โรคเบาหวาน
  • โรคหัวใจ
  • โรคตับแข็ง
  • โรคมะเร็ง
  • โรคไตวาย
  • คนที่มีภาวะกดภูมิจากการใช้สารสเตียรอยด์
  • คนที่ใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น
  • คนที่มีปัญหาของหลอดเลือดบริเวณขา
  • คนอ้วน
  • คนสูบบุหรี่
  • คนที่ติดแอลกอฮอล์

อาการโรคเนื้อเน่า
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการดังนี้

  • ผิวหนังบวม แดง ปวด กดเจ็บในตำแหน่งที่มีการติดเชื้อ
  • ถ้าไม่ได้รับการรักษา ผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะบวมแดง หรือเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็วภายใน 36 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ
  • พบมีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง
  • มีการตายของชั้นใต้ผิวหนังและผิวหนังบริเวณดังกล่าว
  • เมื่อเป็นมากขึ้นเชื้อจะทำลายเส้นประสาท ทำให้อาการปวดที่พบในตอนแรกหายไป กลายเป็นชาบริเวณผิวหนังส่วนที่ติดเชื้อตามมาแทน
  • อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ถ้าเป็นมากอาจมีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • กรณีไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายล้มเหลว ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวลดน้อยลง ช็อค และเสียชีวิต การรักษาต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว

การรักษาโรคเนื้อเน่า
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่สงสัยโรคนี้ควรนอนรักษาในโรงพยาบาล โดยการรักษาหลักคือการผ่าตัดให้ลึกจนถึงชั้นฟาสเชีย คือชั้นพังผืดที่ห่อหุ้มชั้นกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในของร่างกายและเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่ตายออก ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด ซึ่งมักต้องให้ร่วมกันหลายชนิดเพื่อให้ครอบคลุมเชื้อที่ก่อโรค มีการให้สารอาหารอย่างเพียงพอในระหว่างการรักษา และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดตามมาได้ บางครั้งถ้าการติดเชื้อลุกลามมากอาจต้องมีการตัดอวัยวะที่ติดเชื้อทิ้งไปเพื่อควบคุมไม่ให้การติดเชื้อลุกลามมากขึ้นได้

การป้องกันโรคเนื้อเน่า

  • ระมัดระวังดูแลทำความสะอาดบาดแผลบริเวณผิวหนัง
  • ไม่แกะเกาบริเวณผื่นหรือแผลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อลดโอกาสของการเกิดโรคดังกล่าว
  • หมั่นสังเกตตนเอง ถ้าพบว่ามีบาดแผล ที่มีอาการปวดบวมแดง หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ บริเวณแผล ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาก่อนที่โรคจะมีการลุกลามติดเชื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้น

เคล็ดลับลดความอ้วนของคนรุ่นใหม่

การลดน้ำหนักนั้นมีด้วยกันหลายวิธี แต่จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้สาวๆ เห็นผลของน้ำหนักตัวที่ลดลงได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังเป็นวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะสมไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ วันนี้เรารวบรวมมาฝากกัน 5 ข้อ เรียกว่าเป็นข้อสำคัญที่ถ้าคุณทำได้รับรองว่า การมีหุ่นสวยเป๊ะปัง ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

1.อาหารเช้าอย่าให้ขาด

หลายคนมักมีความเชื่อที่ว่า การงดมื้อเช้าจะยิ่งทำให้มีรูปร่างที่ผอมสวยได้อย่างรวดเร็ว แต่จริงๆ แล้วนั่นถือเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะมื้อเช้าถือเป็นมื้อที่มีความสำคัญต่อร่างกายมากที่สุด ดังนั้นควรรับประทานมื้อเช้าเป็นหลัก และลดอาหารในมื้ออื่นๆ ลง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นและเพื่อให้ระบบเผาผลาญภายในร่างกายทำให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

2.ดื่มน้ำบ่อยๆ

น้ำเปล่า ถือเป็นอาหารลดน้ำหนักชั้นเยี่ยม ที่ยิ่งกินมาก ยิ่งดีต่อสุขภาพในช่วงลดความอ้วน เพราะน้ำถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายเกิดกระบวนการเผาผลาญที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร ก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้เร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะกินอาหารมื้อนั้นเกินความจำเป็นมากเกินไป

3.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป

ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารแปรรูป ก็ย่อมมาพร้อมสารเคมีและสารปรุงแต่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก อีกทั้งอาหารประเภทนี้ก็ยังมีปริมาณแคลอรี่สูง ยิ่งกินมากก็ยิ่งทำให้อ้วนขึ้น สาวๆ ที่กังวลเรื่องรูปร่างและอยากเห็นผลของน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ลองเปลี่ยนจากอาหารแปรรูปมาเป็นการรับประทานผักและผลไม้ จะดีต่อสุขภาพร่างกายมากที่สุด

4.รับประทานแบบนับแคลอรี่

ถือเป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สำหรับการรับประทานแบบนับแคลอรี่ ที่จะช่วยให้สาวๆ รับประทานได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ วิธีนี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารจำเป็นอย่างครบถ้วน อีกทั้งยังไม่ทำให้อ้วนขึ้น เพราะกินยังไงก็ไม่เกินจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับในแต่ละวัน

5.งดน้ำตาล

เคล็ดลับสำคัญในการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือการงดอาหารประเภทที่ให้โทษต่อร่างกายและเป็นปัจจัยที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือ น้ำตาล นั่นเอง ดังนั้นสาวๆ ที่อยากเห็นผลน้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ควรตัดน้ำตาลซะตั้งแต่เนิ่นๆ อะไรที่เป็นของหวาน เน้นน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม ไอศครีม เค้ก คุ้กกี้ หรือของหวานอื่นๆ ให้หลีกเลี่ยงไปเลย จะดีต่อสุขภาพในช่วงลดน้ำหนักของสาวๆ

ทั้งหมดนี้ก็คือเคล็ดลับการลดน้ำหนัก 5 ข้อที่อยากให้สาวๆ ทุกคนได้ลองนำไปปรับใช้กันดู หากทำได้เป็นประจำรับประกันได้ว่าคุณจะต้องตกตะลึงในรูปร่างที่เพรียวสวย สมส่วนมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน